ยุค 2000 น่าจะเป็นยุคที่เป็น Power of the Women ใช่มั้ยครับ
เราเคยคิดว่า วิชาชีพสถาปนิกเป็นวิชาชีพของผู้ชายสมัยโน้น ตอนนี้ คณะสถาปัตย์ชั้นนำหลายๆ แห่ง มีผู้หญิงเรียนพอๆ กับผู้ชายแล้ว และอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
ใครที่เรียนเก่งที่สุดในชั้นครับ ? ใครที่จด lecture เก่งที่สุด เพื่อนๆ ต้องมาของ Zerox ถ้าไม่ได้เอามานั่งอ่าน หลายๆ คนอาจจะเรียนไม่จบ ก็เพื่อนผู้หญิงของพวกเราใช่มั้ยครับ
นั่นคือความสามารถของพวกเธอ แล้วในระดับความเป็นผู้นำของโลกล่ะ ?
เราได้เห็นสุภาพสตรี ได้กลายมาเป็นผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างเยอรมันนี กลายมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ กลายมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของนอร์เวย์ (จริงคนนี้เป็นมาก่อนปี 2000 อีก) เร็วๆ นี้เราอาจจะได้เห็นสุภาพสตรีเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกาก็ได้
มาลองดูวงการของเรา ในประเทศเราก็มีสถาปนิกสุภาพสตรีที่เป็น Sole Owner หรือเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ของบริษัทออกแบบหลายคนแล้วเหมือนกัน
ในสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่นๆ ก็มีสถาปนิกสุภาพสตรีหลายคนที่เป็นเจ้าของเพียงคนเดียว และทำการบริหารจัดการกิจการของตัวเองจนเจริญรุ่งเรือง ไม่แพ้ หมายเลขหนึ่งอย่าง Zaha Hadid ที่เป็นที่รู้จักกันดี และแน่นอนว่าไม่แพ้ชายอกสามศอกแต่อย่างใด (บางทีอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ)
มาลองดูเรื่องราวของหญิงแกร่ง และหญิงเก่งเหล่านี้ เขียนโดย Suzanne Stephens แห่ง Architecture Record ฉบับเดือน ธันวาคมปี 2006 ครับ
ปล.โดยผู้แปลขอร้องว่าอย่ามองกระทู้นี้เป็น กระทู้ Sexist กันเลยนะครับ ไม่ได้ต้องการจะเอาผู้หญิงเพศแม่มาดูถูก หรือ จะเอาผู้ชายแบบพวกเรามาดูถูกเปรียบเทียบอะไรกันเลย เพียงแต่ผมคิดว่าวิชาชีพของเราซึ่ง เรามักจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จดังๆ มักจะเป็นสุภาพบุรุษ บทความนี้ได้สะท้อนมุมมองที่ตรงกันข้ามกับมุมนั้นบ้าง เท่านั้นเองครับ ด้วยความเคารพ
ลองสมมุติว่า ถ้าคุณไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการนี้ แล้วลองไปเดินตามท้องถนน หยิบหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารสำหรับคนทั่วไปที่มีตลาดกว้างๆ ขึ้นมาอ่าน คุณอาจจะเข้าใจว่า ในโลกนี้มีสถาปนิกผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ออกแบบอาคารชั้นนำ ได้โครงการดีๆ ที่น่าสนใจไปทำ ชื่อของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Zaha Hadid นั่นเอง แน่นอนว่าเราก็ต้องให้เครดิตกับเธอหน่อย สถาปนิกที่มีเชื้อสายอิรักซึ่งมีสำนักงานอยู่ในลอนดอนแห่งนี้ ได้นำสีสันอันอลังการเข้ามาสู่วงการของเราได้ไม่น้อย แต่คุณก็อาจจะอดไม่ได้ที่จะถามว่า แล้วสถาปนิกหญิงคนอื่นๆ ล่ะ ไม่มีใครที่มีความสามารถระดับนี้อีกแล้วหรือ มีใครบ้างไหม ที่เป็น แบบ Hadid ที่บริหารจัดการสำนักงานออกแบบด้วยตัวเอง เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ในบทความนี้ นิตยสารของเรา (Architectural Record) ได้ตัดสินใจลงลึกไปในประเด็นนี้ โดยสำรวจในกลุ่มของสถาปนิกหญิงในสหรัฐอเมริกา ว่าเรื่องความเป็นเพศหญิงของเธอนั้น ส่งผลใดกับเส้นทางวิชาชีพของพวกเธอกันบ้าง ถ้าถามกลับไปว่า ผู้หญิงมาไกลแค่ไหนในวิชาชีพนี้ ก็อาจจะต้องมองกลับไปในยุคที่ สุภาพสตรีมีการรวมพลังกันอย่างแข็งขัน นั่นคือในยุค 1970s โดยเมื่อปี 1977 ได้มีนิทรรศการที่ชื่อว่า Woman in American Architecture, an Historical and Contemporary Perspective (ขอแปลตรงๆ ว่า มุมมองในประวัติศาตร์และมุมมองร่วมสมัย เกี่ยวกับ สตรีในวงการสถาปัตยกรรมของสหรัฐอเมริกา) จัดขึ้นที่ Brooklyn Museum of Art จัดโดย Susana Torre และให้การสนับสนุนโดย Architectural League of New York งานแสดงครั้งนั้น เป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่ว เพราะเป็นการแสดงผลงานอันตระการตาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ของสถาปนิกหญิงที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน บางอาคารมีชื่อเสียงมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนออกแบบเป็นสุภาพสตรีคำถามก็คือ ในปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านมาได้ 30 ปีพอดี ทุกวันนี้ สุภาพสตรี ยังสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการสถาปัตยกรรมได้มากน้อยแค่ไหน
ในการทำงานครั้งนี้เราได้สัมภาษณ์สถาปนิกสตรีที่มีประสบการณ์ทำงานยาวนาน ด้วยตนเองหรือกับหุ้นส่วนคนอื่นๆ ที่เป็นสุภาพสตรี เราพยายาจะกรองบริษัทที่มีผู้นำเป็นสุภาพสตรี แต่มีหุ้นส่วนต่างๆ เป็นสุภาพบุรุษ นอกเสียจากว่าจะมีการบริหารด้วยสุภาพสตรีมาตลอดจนเพิ่งจะมาเพิ่มบุรุษในตอนหลัง เราไม่ได้ต้องการที่จะมาพิสูจน์ว่า บริษัทที่ดำเนินการด้วยสถาปนิกสุภาพสตรีจะดีกว่าบริษัทที่ดำเนินการด้วยสุภาพบุรุษหรือผสม เราเพียงแต่ต้องการจะหาขอมูลว่า บรรยากาศและรูปแบบต่างๆของบริษัทรูปแบบนี้ เป็นอย่างไร และเราอยากได้แนวคิดและคำแนะนำที่จะมีให้กับนิสิตนักศึกษาสถาปัตย์และสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิตที่เป็นสตรี จากสถาปนิกสตรีผุ้ประสบความสำเร็จเหล่านี้
ในขณะที่เราพยายามหาไปทั่วประเทศ บริษัทที่เข้าตามคุณสมบัติที่เราคิดเอาไว้ส่วนใหญ่จะอยู่ใน มหานครนิวยอร์ค เหตุผลก็น่าจะมาจากสองสามประการ หนึ่งก็คือ มีโรงเรียนสถาปนิกอยู่มากมาย บัณฑิตที่จบมาก็ชอบที่จะอยู่ในเมืองที่มีสีสันแบบนี้ เมื่อมีแรงงานมาก ก็เกิดการแข่งขันมาก ดังนั้นบริษัทที่อยู่รอดและประสบความสำเร็จในการแข่งขัน ก็ต้องนับว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจเพียงพอที่จะนำมาพูดกันในที่นี้
ทุกวันนี้ ในสหรัฐอเมริกา จำนวนสุภาพสตรีที่เป็นสมาชิกของ AIA หรือ American Institute of Architects (คนที่มีใบอนุญาติเท่านั้นจึงจะเป็นสมาชิกได้) ถึงประมาณ 13.3% หรือประมาณ 62400 คน ถ้าหากนับรวม สุภาพสตรีที่มีใบอนุญาติ แต่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ AIA จำนวนรวมกันของสถาปนิกสตรีที่มีใบประกอบวิชาชีพอาจจะรวมกันได้ถึง 110,000 คน ซึ่งถ้ารวมๆ กันอาจจะดูไม่มากเทียบกับบุรุษ แต่หากดูในแง่ของการเพิ่มจำนวนแล้ว จะเห็นได้ว่ามีความชัดเจนมาก ในปี 1975 ตามสถิติของ AIA สุภาพสตรีที่มีใบประกอบวิชาชีพสถาปนิก มีเพียง 1.2% เท่านั้น แต่พอเข้าปี 1991 กลับมีจำนวนสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.59% และมี 4.3% ที่เป็นเจ้าของบริษัท และในปี 2006 มีสุภาพสตรีถึง 13% เป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนบริษัท แต่ถึงจะมีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสัดส่วน 40% ของนิสิตนักศึกษาหญิงที่ศึกษาวิชาสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรี หรือปริญญาตรีแล้ว ผลที่ออกมาเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า จำนวนบัณฑิตหญิงที่เข้ามาทำงานจริงในวงการออกแบบสถาปัตยกรรมยังมีน้อย
Why do I? – ทำไมพวกเธอถึงตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจ
สุภาพสตรีที่เราสัมภาษณ์ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า การที่เธอตัดสินใจทำธุรกิจด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเพราะต้องการอำนาจในการตัดสินใจเพื่อที่จะทำงานออกแบบที่มีคุณภาพได้ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เหมือนๆ กับคนที่เปิดสำนักงานใหม่ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม Suman Sorg, FAIA (สมาชิกระดับ Fellowship หรือน่าจะพอเปรียบเทียบได้กับ วุฒิสถาปนิก ในประเทศไทย) เป็นสถาปนิกสุภาพสตรีที่มีสำนักงานขนาด 40 คน ชื่อว่า Sorg and Associates ในเมือง Washington, D.C. เธอพูดว่า “ดิฉันยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน ต้องการที่จะพัฒนางานอยู่เสมอ และแน่นอนว่าต้องการอิสระในการออกแบบ”เช่นเดียวกับ Anne Fougeron, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนาด 9 คน อยู่ในเมือง San Francisco “ฉันต้องการพิสูจน์ให้สังคมรู้ว่า การที่สตรีจะดำเนินธุรกิจออกแบบด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้” ในบางกรณี ความเห็นก็แตกต่างออกไป เช่น ความเห็นของ Page Ayres Cowley, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงาน ขนาด 11 คน เธอเคยมีหุ้นส่วนเป็นสุภาพบุรุษมาก่อนที่จะมาเป็นเจ้าของคนเดียว “การเข้าหุ้นกันจะไม่มีทางไปกันได้รอด ถ้าแต่ละฝ่ายมีมุมมองที่ต่างกันในเรื่องของ รายได้เป้าหมาย และเรื่องของนโยบายต่างๆ ในการทำธุรกิจ” แต่ก็มีสุภาพสตรีบางคนที่ เจอหุ้นส่วนที่ดี เช่นในกรณีของ Ann Beha, FAIA ที่เป็นเจ้าของบริษัทขนาด 30 คนใน Boston และได้พบกับ Pamela Hawkes, FAIA โดยทั้งสองชอบที่จะทำงานประเภท Renovation เหมือนๆกัน
สุภาพสตรีหลายๆคนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนสอนสถาปัตยกรรมในช่วงปี 1970s ก็ได้พยายามในการทำธุรกิจของตัวเองมาตลอด บางคนทำเพราะเชื่อมันว่าทำได้ ไม่มีการไปค้นคว้าตลาดแต่อย่างใด บางคนก็พยายามอยู่ให้รอดโดยการทำงานเล็กๆ ที่คนอื่นไม่มีใครทำ บางคนก็แอบทำ ในขณะที่ตัวเองมีงานประจำอยู่ บางคนก็มีคำตอบที่ดีให้กับชีวิตโดยเฉพาะเวลาที่มีลูกว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจทำให้เธอจัดเวลาของเธอได้ ทำให้เธอได้เป็นแม่เต็มเวลา และยังทำงานได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังไม่ต้องไปทำงานแข่งกับผู้ชายในสำนักงานใหญ่ๆ ซึ่งก็จะทำให้เธอต้องห่างกับครอบครัว
Katherine McGraw Berry, AIA แห่ง นคร New York เปิดบริษัทออกแบบของเธอเมื่อปี 1985 ในช่วงที่เธอมีลูกชายฝาแฝดสองคน โดยที่เธอลาออกมาจาก Kohn Pedersen and Fox เธอบอกว่า เธอมีความสุขที่ได้ทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก มีเวลาใส่ใจกับรายละเอียดและรายได้ที่พอสมควร ไม่มาก แต่ทำให้เธอแบ่งเวลาให้กับทุกๆ มิติในชีวิต Heather McKinney, AIA แห่งเมือง Austin รัฐ Texas กล่าวว่า “เวลาที่ลูกเราโตขึ้นมา เธอใช้เวลากับการดูแลครอบครัวไปมาก หลายๆ คนที่ออกไปทำงานส่วนตัว จะไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะไปทำงานระดับใหญ่ หรือระดับซับซ้อน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะก้าวหน้าในวิชาชีพ” แต่สิ่งที่เราคนพบ กับบริษัทที่ประสบความสำเร็จซึ่งดำเนินการโดยสุภาพสตรีในบทความนี้ สถาปนิกสตรีเกือบทุกคนที่เราได้พูดคุยก็มีครอบครัวและมีลูก เช่นนกรณีของ Beha เธอมีลูกสองคน ซึ่งเธอให้ความเห็นว่า “ก็เป็นงานที่ยากลำบากอีกชิ้นหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง”
สุภาพสตรีหลายๆคนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนสอนสถาปัตยกรรมในช่วงปี 1970s ก็ได้พยายามในการทำธุรกิจของตัวเองมาตลอด บางคนทำเพราะเชื่อมันว่าทำได้ ไม่มีการไปค้นคว้าตลาดแต่อย่างใด บางคนก็พยายามอยู่ให้รอดโดยการทำงานเล็กๆ ที่คนอื่นไม่มีใครทำ บางคนก็แอบทำ ในขณะที่ตัวเองมีงานประจำอยู่ บางคนก็มีคำตอบที่ดีให้กับชีวิตโดยเฉพาะเวลาที่มีลูกว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจทำให้เธอจัดเวลาของเธอได้ ทำให้เธอได้เป็นแม่เต็มเวลา และยังทำงานได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังไม่ต้องไปทำงานแข่งกับผู้ชายในสำนักงานใหญ่ๆ ซึ่งก็จะทำให้เธอต้องห่างกับครอบครัว
Katherine McGraw Berry, AIA แห่ง นคร New York เปิดบริษัทออกแบบของเธอเมื่อปี 1985 ในช่วงที่เธอมีลูกชายฝาแฝดสองคน โดยที่เธอลาออกมาจาก Kohn Pedersen and Fox เธอบอกว่า เธอมีความสุขที่ได้ทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก มีเวลาใส่ใจกับรายละเอียดและรายได้ที่พอสมควร ไม่มาก แต่ทำให้เธอแบ่งเวลาให้กับทุกๆ มิติในชีวิต Heather McKinney, AIA แห่งเมือง Austin รัฐ Texas กล่าวว่า “เวลาที่ลูกเราโตขึ้นมา เธอใช้เวลากับการดูแลครอบครัวไปมาก หลายๆ คนที่ออกไปทำงานส่วนตัว จะไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะไปทำงานระดับใหญ่ หรือระดับซับซ้อน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะก้าวหน้าในวิชาชีพ” แต่สิ่งที่เราคนพบ กับบริษัทที่ประสบความสำเร็จซึ่งดำเนินการโดยสุภาพสตรีในบทความนี้ สถาปนิกสตรีเกือบทุกคนที่เราได้พูดคุยก็มีครอบครัวและมีลูก เช่นนกรณีของ Beha เธอมีลูกสองคน ซึ่งเธอให้ความเห็นว่า “ก็เป็นงานที่ยากลำบากอีกชิ้นหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง”
สุภาพสตรีส่วนใหญ่ที่เราได้สัมภาษณ์มาจาก รุ่นที่จบการศึกษาในยุคปลาย 1970s และต้น 1980s ส่วนใหญ่ทำธุรกิจด้วยตัวเองมาประมาณ 10-20 ปีแล้ว ขนาดของบริษัทก็มีตั้งแต่ทำงานคนเดียวไปจนถึง 40 คน โดยในประวัติของบริษัทก็จะมีพนักงานอยู่ประมาณ 20-30 คน บริษัทส่วนใหญ่มีสถาปนิกและนักออกแบบ (ไม่มีใบอนุญาติ แต่ได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบ) สถาปนิกคนหนึ่งที่เราได้สัมภาษณ์คือ Sophia Guruzdys, AIA ซึ่งเคยทำงานให้กับ Pei Cobb Freed มาก่อน (พัฒนามาจากสำนักงานส่วนตัวของ I.M.Pei) ซึ่งเธอได้บอกว่า Harry Cobb หนึ่งในหุ้นส่วนได้เป็นคนสนับสนุนให้เธอออกมาทำเอง โดยส่วนตัวเธอบอกว่า เธอไม่ชอบทำงานให้กับเจ้านาย โดยที่เธอไม่มีส่วนร่วมในการควบคุมอะไรในโครงการนั้นเลย แน่นอนว่า การที่เธอออกมาก็มีข้อเสียคือ ในช่วงแรกที่เปิดสำนักงานในปี 1988 นั้น เธอต้องรับโครงการที่เธอไม่ได้อยากทำเลย แต่ต้องรับเพื่อให้มีรายได้
Gisue and Mojgan Hariri (น่าจะเป็นคนเชื้อสายอิหร่าน – ผู้แปล) สองสาวพี่น้องที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1986 ได้แนวคิดที่จะทำงานด้วยกันหลังจากที่ได้ไปเยี่ยมชมโครงการของบรีษัท Greene and Greene ในเมือง Pasadena, California “ถ้าหากว่าพี่น้องผู้ชายสองคนเขายังทำได้ พวกเราเลยคิดว่าพวกเราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”
อีกรายคือ Robin Elmslie Osler เธอเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของสถาปัตยกรรม พ่อของเธอเป็นเจ้าของบริษัทสถาปัตย์และลุงของเธอเป็นหุ้นส่วนของ Purcell & Elmslie ที่มีชื่อเสียง แห่งเมือง Minneapolis แม้ว่าเธอจะมีอาชีพเป็น นางแบบแฟชั่นมาก่อน แต่ประสบการณ์ที่เธอเคยอยู่ใกล้ชิดกับพ่อโดยเฉพาะได้เห็น site ก่อสร้างทำให้เธอตัดสินใจเข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ Yale และจบการศึกษาในปี 1990 เธอเปิดบริษัทของเธอเองชื่อว่า EOA/Elmsilie Osler Architects ในปี 1996 ปัจจุบันมีพนักงาน 8 คน ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่เธอได้นั้น มาจากคนที่เธอรู้จักในวงการแฟชั่น แต่พอเวลาที่เธอได้ทำงานไปเรื่อยก็มีฐานลูกค้ามากขึ้น ล่าสุดลูกค้าที่เธอได้นั้น มาจากการส่งต่อโดย Richard Gluckman, FAIA แห่งสำนักงาน Gluckman Mayner ณ มหานคร นิวยอร์ค
Getting Clients
สำหรับสถาปนิกผู้หญิงการออกเดินสายหาลูกค้าเพื่อทำโครงการไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ส่วนใหญ่จะได้รู้จักกับลูกค้าตอนที่ทำงานในสำนักงานใหญ่ๆ ก่อนที่จะออกไปทำเองแล้วลูกค้าตามไปจ้าง หลายๆ คนต้องใช้วิธีที่ค่อนข้าง aggressive หรือ ถึงลูกถึงคน เช่นในกรณีของ Wendy Evens Josephs, FAIA ซึ่งมีโอกาสได้ตั้งสำนักงานขนาดหกคนของตัวเองในปี 1996 เพราะได้โครงการ สะพานคนข้ามของมหาวิทยาลัย Rockefeller ใน นคร นิวยอร์ค โดยที่มาของการได้โครงการนี้ก็มีอยู่ว่า ในคืนวันหนึ่งที่เธอกำลังรับประทานอาหารในงานสังคมงานหนึ่ง อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อยู่ในที่งานนี้ด้วยและอธิบายถึงปัญหาการขาดแคลนงบประมาณในการสร้างสะพานให้เธอฟัง เธอได้นำเสนอแผนการคร่าวๆ ให้อธิการบดีฟังทันที ด้วยความมีประสบการณ์อันมากมายมาจาก การออกแบบ Holocaust Museum ใน นครวอชิงตัน ดีซี สมัยที่ทำงานให้กับ Pei Cobb Freed โดยเธอมีทีมวิศวกรที่ใกล้ชิดและเด็กดร้าฟที่ทำงานที่โต็ะกินข้าวที่บ้านของเธอ แล้วต่อมาเธอก็ได้งานนี้ไป (ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน คงจะง่ายเพราะเป็นการตัดสินใจของ Board แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ โอกาสที่จะได้งานแบบ Unsolicited proposal แบบนี้ น้อยมาก เพราะถ้า Board ส่ง proposal เข้าที่ประชุมแล้วสรุปโดยไม่มีการเปิดประมูลสาธารณะ ก็อาจจะโดนประชาชนผู้เสียภาษี ซึ่งมีสถาณภาพเหมือนผู้สนับสนุนกิจการของมหาวิทยาลัย ฟ้องร้องได้ – ผู้แปล)
Andrea Leers, FAIA และ Jane Weinzapfel, FAIA เปิดสำนักงานส่วนตัวในเมือง Boston ในปี 1982 ซึ่งเน้นความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบสาธาณูปโภคหรืองานเทคนิคระดับซับซ้อน เช่น หอควบคุมระบบการขนส่งทางน้ำของ Massachusetts Bay Transportation Authority เป็นต้น Leers กล่าวว่า “เราได้งานในตลาดที่ค่อนข้างไม่หวือหวา และมีงบประมาณที่จำกัดมาก เป็นโครงการที่บริษัททั่วๆไปไม่ค่อยสนใจ ซึ่งก็เป็นข้อดีสำหรับเรา เพราะเราจะไม่ค่อยถูกกระทบมากจากวงจรเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลง” อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ เรื่องเกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนั้นแทบจะไม่มีความหมาย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น โครงการของรัฐนั้นมีระบบพิเศษที่จะช่วยเหลือกลุ่มที่ถือว่า “ด้อยโอกาสในสังคม” หรือที่เรียกว่า Minority ซึ่งธุรกิจที่มี สุภาพสตรีเป็นเจ้าของก็เป็นหนึ่งในนั้น ตัวอย่างเช่น นคร New York City ต้องการหาบริษัทที่มีผู้หญิงล้วนมาทำโครงการของรัฐ (เป็นการสร้างภาพทางการเมือง ในสหรัฐ การสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูมีมุมมองที่กว้างขวาง ช่วยเหลือกลุ่มที่ด้อยโอกาสในสังคม เช่น คนดำ หรือสุภาพสตรีนั้น เป็น การรับประกันว่านักการเมืองจะได้ คะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้ไปในตัว) ตัวอย่างของ สถาปนิกกลุ่มนี้ได้แก่ Karen Bausman AIA และ Beyhan Karahan AIA ซึ่งแต่ละคนมี พนักงาน 11 และ 15 คนตามลำดับ ได้มีชื่อบริษัทของตัวเองอยู่ในบัญชีสถาปนิกของ นคร New York’s design excellence program ที่เป็นโครงการจากผู้ว่า Michael Bloomberg (http://www.archpaper.com/news/2007_0404.htm) ในแผนก ออกแบบและก่อสร้าง
อีกประการหนึ่งทีสถาปนิกหญิงพบในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาคือ การเพิ่มจำนวนของลูกค้าที่เป็นสุภาพสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกค้ากลุ่มที่มาจากสถาบันการศึกษา สถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ และภาครัฐ Andrea Leers ได้กล่าวว่า “การที่เราเป็นผู้หญิงนั้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่ใจกล้า ที่จะลองรับการบริการวิชาชีพจากเรา” แต่ Gisue Hariri ก็ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับ คณะกรรมการคัดเลือกสถาปนิกในองค์กรสำคัญๆ ว่า “ถ้าในกรรมการนั้น ไม่มีผู้หญิงอยู่เลย ก็จะไม่มีสถาปนิกหญิงได้รับเลือกเช่นกัน ส่วน Diane Lewis, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนาด 11 คนในนิวยอร์คก็ได้กล่าวว่า “บริษัทของดิฉันจะดึดดูดลูกค้าที่ค่อนข้างจะมีความรู้ และมีรสนิยมทางศิลปะมากหน่อย” งานของเธอนั้นเป็นประเภท Art Gallery, Charter School และห้องพัก (Loft) ของ Mark Wigley คณะบดีของ Graduate School of Planning and Preservation แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การได้งานจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่น้นเป็นได้ยากมากสำหรับสถาปนิกสตรี Deborah Berke, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงานขนาด 25 คน ได้กล่าวว่า “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่โทรหาเรานั้น มักจะเป็นคนที่มีจิตใจเิปิดกว้างอยู่แล้ว” Julie Snow, FAIA ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงานขนาด 15 คนในเมือง Minnesota ในความเห็นว่า ลูกค้าบางคนนั้นไม่ค่อยจะรู้สึกสบายใจที่จะทงานกับผู้หญิง “แต่ที่เราได้งานส่วนใหญ่จากลูกค้าที่เป็นผู้ชายนั้น จะเป็นเพราะพวกเขาต้องการมุมมองของผู้หญิงที่อยากให้เขาไปอยุ่ในงานออกแบบ” Audrey Matlock, AIA ที่ีมีสำนักงานขนาด 12 คน ได้กล่าวว่า ถ้าเราไม่ได้งานนั้นมาทำกับมือ เราก็จะไม่รู้ว่าเรื่องความเป็นผู้หญิงของเรานั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เขาเลือกเราให้ทำงานกับเขาหรือไม่ ณ ปัจจุบัน เธอกำลังออกแบบโครงการ ศูนย์กีฬา และคฤหาสน์ ขนาดใหญ่ในประเทศคาซัคสถาน ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับผ่านมาทาง Skidmore Owings & Merril (SOM) นายจ้างเก่าของเธอ
Ronnette Riley, FAIA เปิดสำนักงานในนิวยอร์คตั้งแต่ปี 1987 มีจำนวนพนักงานไม่เกิน 14 คน พบว่าการทำงานกับบริัษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเรื่องที่ยากเพราะ เป็นคนที่ค่อนข้างจะอนุัรักษ์นิยม และชินกันการเสี่ยง พวกเขามักจะชอบทำงานกับคนที่คุยภาษาเีดียวกับเขา แต่เธอก็เล่าให้ฟังว่า เธอได้งานจากลูกค้าคนหนึ่งเพราะรถที่เธอซื้อมาขับ (BMW 645 CI) เขาหยุดแล้วถามเธอเกี่ยวกับรถที่เธอขับว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วการสนทนาก็เิ่ริ่มมาจากตรงนั้น Alison Spear, AIA มีสำนักงานขนาด 6 คนในเมือง Miami รัฐ Florida ชอบทำงานกับ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาก เธอชอบความกดดันในการทำงาน เธอกล่าวว่าทำให้เธอรู้สึกสนุกกับมัน เธอเพิ่งจะออกแบบโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 12 ชั้นเสร็จ โดยเป็นโครงการของบริษัท Aqua บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เธอทำงานออกแบบภายใน ร่วมกับการออกแบบสถาปัตยกรรมด้วย เธอกล่าวว่า นี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าเธอชอบเพราะไม่ต้องไปหานักออกแบบหลายๆ คน มาหาเธอคนเดียวแล้วจบ
The Press
การได้รับตีพิมพ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณจะให้สื่อต่างๆ มาสนใจคุณได้อย่างไรเวลาที่คุณเพิ่งเิริ่มเปิดกิจการ ก็มีหลักๆ สองอย่างที่จะดึงความสนใจสื่อได้คือ ประเภทของโครงการกับลูกค้าที่มีชื่อเสียง Spear ได้รับการตีพิมพ์เยอะมากในโครงการ loft ที่เธอทำเมื่อ 20 ปีก่อน ให้กับ Jay McInerney (นักเขียนชื่อดัง) ซึ่งเป็นลูกค้าที่เธอได้พบจากเครือข่ายศิลปินของ National Arts Club เธอจบการศึกษาจาก Cornell และตัดสินใจเข้าทำงานกับ Juan Pablo Molyneux ซึ่งเป็นมัณฑนากร เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับ antiques การให้สี และ fabric ต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับเธอ เทียบกับการเรียนสถาปัตยกรรมที่มีแต่ขาวกับดำ เธอเชื่ออยู่เสมอว่าตัวเองเป็นสถาปนิก แต่ทำงานออกแบบมัณฑนากร แต่สื่อมักจะคิดว่าเธอเป็น มัณฑนากรหรือ เรียกเธอว่า Decorator ในกรณีของ Jennifer Luce, AIA ผู้ทำธุรกิจออกแบบ ทั้งงาน Landscape และ งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ด้วยสาเหตุที่บริษัทของเธอมีสุภาพสตรีทำงานอยู่ถึง 75% ทำให้สื่อคิดว่าบริษัทของเธอเป็นบริษัทมัณฑนากร ล่าสุดงานของเธอ Nissan Design America Building ใน ดีทรอยต์ และ Nissan Design Studio ที่ La Jolla ในแคลิฟอร์เนีย น่าจะทำให้ภาพพจน์ตรงนี้ลดลง แต่เธอก็บอกว่ายาก เพราะเธอเป็นคนที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดในงานของเธอ (ตีความว่าเป็นนิสัยของ Interior Designer )
สถาปนิกแห่ง มหานครนิวยอร์คอีกคนชื่อ Annabelle Selldorf, AIA ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีปัญหาในการได้รับความสนใจจากสื่อสักเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้าที่เป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการศิลปะของเธอ งานออกแบบของเธอส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้ หรือไม่ก็ออกแบบ Art Gallery เช่น Museum of German and Austrian Art ในแมนฮัตตัน “ดิฉันเริ่มต้นจากการทำงานปรับปรุงห้องครัวเล็กๆ ในปี 1989” ปัจจุบันบริษัทของเธอมีพนักงาน 33 คน และได้รับงาน ที่สำคัญอย่าง Urban Glass House ออกแบบโดย ฟิลลิป จอห์นสัน เธอเลยได้ใช้โครงการนี้ไปในการทำการตลาดให้กับบริษัทของเธอ และดึงดูด สื่อไปโดยปริยาย ส่วน Lindy Roy เจ้าของสำนักงานชื่อ ROY ก่อตั้งในปี 2000 มีพนักงานเฉลี่ยประมาณ 10 คนได้กล่าวว่า ในปี 2001 สำนักงานของเธอได้รับเลือกให้ออกแบบ Courtyard ใน PS1 Contemporary Art Center ในเขต Long Island City ของนิวยอร์ค โดยเป็นส่วนหนึ่งของ MoMA/P.S.1 Young Architects Program “สื่อที่มาทำข่าวครั้งนั้น เป็นผลดีกับดิฉันมาก มีลูกค้าใหม่ๆ หลายคนโทรติดต่อเข้ามา” Roy เป็น สถาปนิกจาก อัฟริกาใต้ จบการศึกษาจาก Columbia University ผู้ออกแบบ Andre’ Balasz’s Hotel QT ซึ่งเป็น อาคารสำนักงานเก่าในย่าน Time Square ในปี 2005
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
2 comments:
Definitely believe that which you stated. Your favorite justification appeared to
be on the net the easiest thing to be aware of. I say to
you, I certainly get annoyed while people consider worries that they
just don't know about. You managed to hit the nail upon the top and also defined out the whole thing without having side-effects , people could take a signal. Will probably be back to get more. Thanks
My webpage - VIERA TC-L47E50 Reviews
Excellent article. I will be experiencing a few of these issues as
well..
Also visit my web site; how to play ukulele
Post a Comment