เมื่อวานเพิ่งตอนเดินออกไปกินกาแฟ ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ผมได้หยิบดินสออันหนึ่งที่ตกอยู่บนทางเท้าขึ้นมา เป็นดินสอที่หักซีกที่ตกอยู่เป็นซีกที่มีปลายแหลมสำหรับเขียน แล้วมีอักษรเขียนอยู่ด้านข้างว่า "Money is not important" หรือ เงินไม่สำคัญ ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายๆ อย่างและอยากจะเอามา share ให้เพื่อนฟัง
ผมคิดว่าประโยคนี้ คงไม่ใช่ประโยคที่จบในตัวเอง คิดว่าน่าจะมีประโยคอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในอีกครึ่งหนึ่งของดินสอที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประโยคนั้นอาจจะเขียนว่า "Jesus is Important" หรือ "Family is important" หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะผมเชื่อว่านี่คือดินสอของที่ระลึกจากโบสถ์หรือองค์กรเอกชนที่ต้องการลดพฤติกรรมการทำงานหนักอย่างแรง เพื่อเงินของคนอเมริกันและหันมาเข้าหาศาสนาหรือให้เวลากับ ครอบครัวมากขึ้น แต่การที่ได้เห็นประโยคแค่ว่า "เงินไม่สำคัญ" ทำให้ผมได้แต่ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า
สิ่งที่แล่นเข้าหาสมองของผมตอนนั้นก็คือว่า ผมจะใช้ดินสอนนี้ทำอะไรได้บ้าง
แน่นอนผมก็สามารถเอาดินสอนี้ไปเขียนหนังสือได้ ผมจะเขียนอะไร ผมอาจจะเขียนเรื่องราวหรือกลอนที่ใช้เป็นแรงบันดาลใจคนทั้งโลก หรือใครก็ตามที่อยากจะอ่าน หรือผมอาจจะใช้เขียนคำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังให้คนเกิดความแค้น หรือผมอาจจะหยิบดินสอนี้ขึ้นมาแล้วหันปลายแหลมเข้าหาตัวเอง แล้วก็ … ทิ่มคอตัวเองตาย ก็เป็นได้
อุปมาที่น่าขันที่สุดในแนวคิดนี้ คือว่า คนในสังคมโลกของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน มีทางเลือกในการใช้ประโยคที่ว่า “เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ” ได้ไม่ต่างกับดินสอที่ผมพูดถึงนี้เลย
คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่จะทำให้ชีวิตคุณมีแต่ความสุขความสงบ เหมือนกับการเขียนกลอนจรรโลงโลก หรือคุณอาจจะใช้ประโยคนี้ในการฆ่าตัวตายด้วยการเอาปลายแหลมของมันทิ่มคอหรือหัวใจของตัวเองให้สิ้นชีพไปก็ได้
คนที่พูดว่าเงินไม่ใช่ิสิ่งที่สำคัญที่ผมรู้จักในชีวิตมีอยู่สองรูปแบบคือ
หนึ่ง คนที่ทำมาหากินมาหนักสร้างเนื้อสร้างตัวมาจนถึงระดับที่มีเงินมากเสียจนรู้สึกว่า มันไม่ใช่ปัญหาของชีวิตของเขาอีกต่อไป เขากลับรู้สึกว่าการมีเงินมีทองนั้น มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเขาเติมเต็ม เขารู้สึกว่า ชีวิตมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นที่รอให้คนหาอยู่ เช่นการเข้าหาธรรมะ การช่วยเหลือสังคม หรือการหาความตื่นเต้นอื่นๆ
สอง คือคนที่ ทั้งชีวิตไม่มีความพยายามที่จะทำงานหนักอะไร ไม่มีความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองอะไร ไม่ยอมแม้กระทั่งจะพยายามดูสักครั้งเพื่อไปถึงสิ่งที่ฝัน แล้วก็เลยสร้างกำแพงล้อมตัวเองในใจ โดยใช้ประโยคว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ” มาเป็น “ข้อแก้ตัว” ที่ทำให้ตัวไม่จำเป็นต้องพยายาม ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ
บุคคลสองกลุ่มนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเปรียบเทียบเป็นยอดยุทธในบู๊ลิ้ม:
บุคคลกลุ่มแรก คือกลุ่มที่ไปถึงจุดสูงสุดแล้วคืนสู่สาัมัญ เขาได้ไปถึงจุดที่มีเงิน มีทอง ประสบความสำเร็จแล้วเขา แน่ใจอย่างชัดเจน ว่าเงิน เป็นเพียงเครื่องมือในการใช้ชีวิตเท่านั้น ไม่มีวันที่ตัวมันเองจะเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตไปได้ แถมยังเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ให้ถูก ถ้าใช้ผิดจะมีแต่ความทุกข์ แต่คนกลุ่มนี้ถ้าถูกรุกราน ก็จะสามารถป้องกันตัวเองและควบคุมการดำเนินชีวิตตัวเองได้เพราะมีวิทยายุทธอยู่
บุคคลกลุ่มที่สองคือคนที่ไ่ม่เคยหัดหมัดหัดมวย คิดว่า หัดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้จะไปสู้กับใคร หัดไปประสบความสำเร็จก็มีแต่ความว่างเปล่าแบบที่คนกลุ่มหนึ่งเป็น ก็เลยคิดว่า ไม่ต้องหัดเสียก็ดี แต่พอถึงเวลาที่มีเหตุการณ์ ถูกรุกราน คนกลุ่มนี้ก็จะช่วยอะไรตัวเองไม่ได้
ทำไมเงินจะไม่สำคัญ ทั้งๆ ที่ในโลกปัจจุบันของเราเป็นโลกเศรษฐกิจทุนนิยม
เงินนั้น มีความสำคัญอย่างแน่นอน ในส่วนที่มันมีความสำคัญได้ และเงินนั้นก็ไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อยในส่วนที่มันไม่มีความสำคัญได้
เงินเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ต่างกับฆ้อน หรือ ไขควง เราต้องใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ถ้าท่านในแง่ดี ก็คือ บริจาค สร้างโรงพยาบาล สร้างสาธารณกุศล สร้างโรงเรียน ก็ว่าไปถ้าท่านในแง่ลบ ก็คือ ฆ่ากัน ทำสงครามกัน
นั่นคือสิ่งที่เงินซื้อได้
แต่เงินไม่สามารถซื้อ ความรัก การให้อภัย การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความโอบอ้อมอารี
ซึ่งสิ่งเหล่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และห่างไกลจากเรื่องของเงินมาก ทำให้หลายๆ คนที่อยู่ในกลุ่มที่สอง(กลุ่มแก้ตัว) ยิ่งมีข้อสนับสนุนแนวคิดของตัวเองว่า เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญของตน ได้มากขึ้นไปอีก แต่นั่นคือการเอาปากกาทิ่มคอตัวเองตายอยู่ !!
ถ้าท่านใช้ประโยคว่า “เงินไม่มีความสำัคัญ” เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต ท่านจะมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี รู้จักบริจาค ให้ท่าน มีชีวิตพอเพียง เวลาตายจะไม่กังวลเรื่องทรัพย์สิน เพราะท่านได้ละแล้ว ไม่ยึดติดกับมันแล้ว นั่นคือการใช้ปากกาเขียนกลอนจรรโลงโลก
แต่ถ้าท่านใช้ประโยคว่า “เงินไม่มีความสำคัญ” มาเป็นข้อแก้ตัวในการดำเนินชีวิจของท่าน ท่านก็จะสามารถใช้ประโยคนี้ไป apply กับสิ่งอื่นๆ ได้ เช่น “การส่งลูกเรียนสูงๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” การที่หาเงินให้พ่อแม่เกษียณ ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การที่จะให้ภรรยาของท่านไม่ต้องทำงานหนก ดูแลลูกอยู่กับบ้าน อบรมลูกให้เป็นคนดี ก็ไม่สำคัญอะไรมาก นั่นคือการใช้ปากกา ทิ่มคอตัวเองตายอย่างชัดเจน
สิ่งที่ผมกำลังพยายามจะพูดถึงคืออะไร
ผมกำลังบอกว่า การจะหยิบดินสอนหรือปากกาขึ้นมาทำอะไรนั้นเป็น “ทางเลือก” ของท่านที่ถือดินสอหรือปากกาอยู่ เพียงคนเดียว
การจะเขียนกลอนหรือบทความ หรือบทเพลงให้คนทั่งโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านต้องหาข้อมูล ฝึกฝนตัวเอง มีจิืตใจที่แนวแน่ มีความพยายามที่จะพัฒนา ซึ่งก็เหมือนกับความตั้งใจในการทำุธุรกิจที่จะหาเงิน ต้องมีจิตใจที่แนวแน่ ไม่ย้อท้อต่อความยากลำบาก ไม่กลัวความเหนื่อย ไม่กลัวที่จะถูกปฎิเสธ เป็นหนทางที่ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ราววัลที่ได้รับนั้น หอมหวานมาก และท่านจะไปสู่จุดสูงสุดอันเป็นปรัชญาที่เข้าใจความหมายอย่างแท้จริงของประโยคที่ว่า “เงินไม่สำคัญ” นั้น คืออะไร
แต่การเอาดินสอหันเข้าหาตัวเองแล้วเอา ทิ่มคอตัวเองมันง่าย แค่ยกมือเพียงครั้งเดียว ชีวิตท่านก็จะจบสิ้น ไม่ต่างกับการที่่คนๆ นั้นไม่สนใจที่จะพัฒนาอะไร พูดว่าอยากทำธุีรกิจออกแบบให้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เคยค้นคว้า ไ่ม่เคยศึกษาหาตัวอย่างอะไร แต่ดันเลือกที่จะเป็น “เหยื่อ”
โปรดสังเกตุว่าผมใช้คำว่า “เลือก” ที่จะเป็นเหยื่อ
ผมไม่เชื่อว่าในชีวิตนี้มีใครที่ เกิดมาเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เข้ามาเป็นสถาปนิกในวงการวิชาชีพอันทรงเกียรตินี้ได้ คนที่กลายเป็นเหยื่อคือคนที่เลือกที่จะเป็นเองลักษณะของเหยื่อ คืออะไร ? เจ้านายของผม Mr.Arthur Danielian ที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในวงการสถาปัตยกรรมเคยบอกผมไว้ว่า มีสี่อย่าง
1. Blaming หรือ โทษคนอื่น – เหยื่อคือคนที่โทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเวลาที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ โทษลูกค้า โทษสมาคม โทษหัวหน้า โทษลูกน้อง โทษเพื่อนร่วมงาน โทษสภาสาปนิก โทษภรรยา และแน่นอนที่สุด หลายๆ คนโทษพ่อแม่ตัวเองที่เลี้ยงตัวเองมาเป็นแบบนี้้ ปัญหาคือ เหยื่อเหล่านี้ โทษคนทั้งโลกยกเว้นตัวเอง
2. Justifying หรือ แก้ตัว – เหยื่อคือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จแล้ว พยายามแก้ตัว ว่าสิ่งที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีความสำคัญเช่น ไม่เห็นจะต้องไปสอบกส ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องไปเรียนเรื่องการตลาด ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องไปเรียนเรื่องการวางระบบเพราะไม่สำคัญอะไร สรุปแล้ว อะไรที่ตัวเองทำไม่สำเร็จ ก็จะบอกว่าไม่สำคัญ เป็นการสร้างเกราะกำบังให้ตัวเอง แทนที่จะยอมรับความไม่สำเร็จตรงนั้นแล้วพยายามใหม่ กลับบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จอยู่นั้นเป็นคนที่หลงทาง ทำอะไรที่ไม่มีความสำัคัญอยู่
3. Complaining – บ่น – นี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เหยื่อจะทำได้ พอมีปัญหาอะไรก็บ่น หรือด่า แต่ไม่คิดจะต่อสู้ ไม่คิดจะมานั่งปรึกษาหาวิธีที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น พอมีปัญหา ก็ด่าสมาคม ด่าสภา ด่าผู้บริหาร พอบอกให้ส่งจดหมายไปร้องเรียนสักฉบับก็บอกว่า ส่งไปก็ไ่ม่มีประโยชน์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลอง สรุปก็คือ ขอให้ได้บ่น การบ่นหรือด่า นั้นเป็นการรวมรวมความเลวร้ายที่เป็นสิ่งไม่ดีในชีวิตเข้ามาหาตนเอง เวลาทีคนเราบ่น เรากำลังพยายามมุ่งเน้นอะไรอยู่? เรามุ่งเนั้นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในชีวิตเรา ถ้าเราวันๆ เองแต่มุ่งเน้นสิ่งที่ไม่ดีมากๆ เราจะกลายเป็นเหมือนกับแม่เหล็กที่ดูดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้เข้ามามากขึนๆๆๆๆ
4. Back Stabbing หรือ นินทาคนอื่น – เป็นการกระทำที่ไมไ่ด้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย และเป็นอีกครั้งที่มุ่งเน้นแต่เนื้อหาในแง่ลบของชีวิตเข้ามาใส่ตัว เป็นสี่งที่เสียเวลาในชีวิตมาก แทนที่จะเลือกทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ชอบคนๆ นี้ ก็ควรจะเลือกว่า หนึ่ง จะไม่คุยกับคนๆ นั้นอีก หรือ สองคือ ทำตัวเ็ป็นศัตรูคู่อาฆาต ต่อสู้ฟาดฟันกับคนๆ นั้นไป แต่ขอร้องว่าทำอะไรสักอย่าง อย่ามัวแต่นั่งนินทา
Mr. Danielian บอกอีกว่า ถ้าท่านอยากจะทำให้ชีวิตท่านกลายเป็นพลังที่มีแต่แง่บวก ขอให้เลิกเป็นเหยื่อเสีย ก็คือ จงงดกิจกรรมสี่ประการในชีิวิตของท่านให้หมดสิ้น ลองดูสัก สองสามอาทิตย เลิก โทษคนอื่น เลิกแก้ตัว เลิกบ่น แล้วก็เลิกนินทา ท่านอาจจะเห็นว่าชีวิตท่านเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
สรุปคือ ปากกาแท่งนี้อยู่ในมือของท่านแล้ว ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะเริ่มฝึกตัวเอง ฝึกตัวเองให้หนัก ฝึกให้ตัวเองมีความเหนื่อยยากหรือ Uncomfortable ตั้งแต่วันนี้ เรียนรู้เรื่องการทำการตลาด การวางระบบ การจัดการเรื่องการเงิน เพื่อให้ท่านมีความเจริญเติบโตต่อไปข้างหน้า เพื่อให้ท่าน สามารถเป็นผู้เขียนกลอน หรือบทกวีบรรลือโลก สักวันหนึ่ง และมีประโยคที่ว่า “เงินไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ” เป็นปรัชญาประจำตัวของท่าน หรือท่านจะเลือกวิธีง่ายๆ ที่จะเอาปากกาแท่่งนี้ ทิ่มคอตัวเอง ท่านต่อไปๆๆๆ อย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีประโยคที่ว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ” มาเป็นข้อแก้ตัวและพันธนาการที่จะปิดโอกาสในการสร้างความเจริญของท่านไปตลอดชีวิต?:)
เชิญพี่ๆ น้องๆ อภิปรายได้ตามสะดวกต่อจากนี้นะครับ
Friday, November 16, 2007
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
3 comments:
This article is applicable for the harsh reality of life. As you told me once .. "don't be the victim"
thanks ka :)
สำหรับผม เงินสำคัญ เพื่อใช้ต่อความฝัน ทั้งหลายของผม
และผมหวังที่จะเป็น อย่างคนกลุ่มแรก (ไม่อ้างว่าเงินไม่สำคัญ)
ขอบคุณครับ สำหรับ บทความดีๆ
"V": Assumption Uni. Student (Architecture)
มันมีคนอีกหลายแบบครับ ที่คิดว่าเงินไม่สำคัญ ถ้าคุณจะลองมองออกไปให้กว้างกว่าแค่คนรอบตัวใกล้ชิด หรือแค่คนร่วมวิชาชีพ
มันมีคนที่ไม่ว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน เขาก็มีชีวิตที่ดีอยู่ได้ จึงคิดว่าถ้าต้องดิ้นรนมากกว่านี้เพื่อเงิน แต่ต้องเสียคุณภาพชีวิต จะทำไปทำไม
มันมีคนที่มาจากครอบครัวที่ฐานะดีอยู่แล้ว และพ่อแม่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของความขยันที่ไม่จำเป็นต้องทะเยอทะยานทางด้านลาภยศสรรเสริญ จึงไม่คิดจะโลภหาเงินเพิ่มเติม แต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่าแค่สร้างเงิน สร้างชื่อเสียง
ประเด็นหลักๆมันก็แค่เรื่องความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ถ้าลองโตมาในครอบครัวที่สอนให้ลูกทะเยอทะยานต้องเป็นใหญ่ ต้องสำคัญที่สุด ต้องรวยกว่าคนโน้นคนนี้ มันไม่มีวันเป็นยอดฝีมือในบู้ลิ้มได้หรอกครับ
ทำได้ก็แค่หาวิธีเล่าเรื่องให้ตัวเองเป็นยอดฝีมือต่อไป จนคนทั้งบู้ลิ้มเชื่อเท่านั้นเอง
Post a Comment