tag:blogger.com,1999:blog-229807932024-03-08T01:37:39.736-08:00ดร.พร วิรุฬห์รักษ์ - Ponn Virulrak, Arch.D, AIA, LEED APงานเขียน และ งานแปล ใน Website แห่งนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ ดร.พร วิรุฬห์รักษ์ ทุกท่านสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ตามอัธยาศัย แต่กรุณาอย่าลอกไปแล้วอ้างว่าเป็นของท่านเอง ถ้าพบจะมีการเช็คบิล:)ถ้ามีคำถามเชิญส่งไปได้ที่ virulrak@gmail.comPonn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.comBlogger38125tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-28896581889681658612018-11-16T20:23:00.001-08:002018-11-17T17:19:58.620-08:00Powerful: Building a Culture of Freedom and Responsibility
"ใจกลางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรของ Netflix"
ตอนที่: 001<p dir="ltr">Powerful: Building a Culture of Freedom and Responsibility <br>
#001<br>
โดย Patty Mccord<br>
Publisher: Silicon Guild (January 9, 2018)</p>
<p dir="ltr">หนังสือเล่มนี้ คนเขียนคือ Executive Member ของ Netflix ที่รับผิดชอบเรื่องการบริหารคน ซึ่งผมอยากให้ผู้อ่านพยายาม ลืมคำว่า Human Resource หรือ ฝ่ายบุคคล ออกไป ไม่ว่าจะเป็นคำว่า Personnel หรือ People หรือ อะไรก็ตาม - เขาอาจจะมี Title ว่า HR แต่ความจริง การบริหารคนคือใจกลางของการบริหารองค์กร ดังนั้น Tactic ในการบริหารคนนั้นจริงๆ แล้วคือ Key สำคัญในการพาองค์กร ไปให้ประสบความสำเร็จ หรือพาไปสู่หายนะ </p>
<p dir="ltr">Netflix คือ บริษัทที่เราคุยกันอยู่ ณ ปี 2018 ถือเป็นองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดองค์กรหนึ่งในโลก เรื่องราวที่ ถูกนำมาเล่าโดยคุณ Patty Mccord นี้ หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ มีผู้บริหารองค์กรในประเทศไทย “คิด” แต่ มันก็ดูสุดโต่ง และหลายคนก็อาจมีความกลัวว่าทำแล้ว มันจะเป็นยังไง เพราะมันก็ไม่มีใครกล้าทำ </p>
<p dir="ltr">การที่จะบอกว่า Netflix กล้าทำ แล้วเขาทำสำเร็จ แปลว่า เราก็ควรจะเอามาทำด้วยนั้น ไม่ใช่ตรรกะที่ดีนัก เพราะทุกอย่าง ล้วนมีรายละเอียดปลีกย่อยอันเป็นสาระสำคัญ ที่ผมเชื่อว่าหลายๆ เรื่อง คุณ Mccord ก็ไม่ได้เขียนมา และ เราก็ต้องเข้าใจว่า Netflix คือ บริษัทที่ดำเนินการบนพื้นฐานของวัฒนธรรมอเมริกัน ที่มีลักษณะสำคัญคือ ความตรงไปตรงมา ความเท่าเทียมกันในเชิงของวัฒนธรรม (มี Hierarchy ทางสังคมในระดับที่น้อยกว่าทางตะวันออก) และ value personal relationship น้อยกว่า ภาพรวมขององค์กร ซึงลักษณะเหล่านี้จะสวนทางกับ วัฒนธรรมตะวันออกของเรา</p>
<p dir="ltr">ดังนั้นการทำความเข่าใจหนังสือเล่มนี้ ดีที่สุดคือฟังหูไว้หู ลองดูไปทีละประเด็น และต้องเปรียบเทียบกลับมาในลักษณะธุรกิจของท่านด้วย ผมเองมีความเชื่อว่า ธุรกิจบางธุรกิจ เอาหลักการนี้ไปใช้แทบไมไ่ด้เลย แต่ธุรกิจบางธุรกิจ อาจจะเอาไปใช้ได้เป็นจำนวนมากก็ได้</p>
<p dir="ltr">สิ่งหนึ่งที่สำคัญและ เป็นเรื่องที่ต้องย้ำให้ทุกคนเชื่อในยุคนี้คือ หลายๆ เรื่องที่เรา (หมายถึงคนที่อายุ 40 ปี ขึ้นไปเหมือนผม) มีความเชื่อกันมาตั้งแต่เด็กว่า หลักการบริหารทีถูกต้องคือแบบนั้น แบบนี้ หลายๆ เรื่อง มันใช้ไม่ได้แล้วกับยุคปัจจุบัน หลายๆ เรื่อง มัน “ต้องเลิกใช้” แล้วฝังมันไปเลย หลายๆ เรื่อง อาจจะต้องค่อยๆ เลิก พอได้ เพราะหากเราไม่ค่อยๆ ลก ละ เลิก เรื่องพวกนี้ ลงแล้ว องค์กรของเรา อาจถึงกาลอวสานเร็วกว่าที่เราคิดไว้ </p>
<p dir="ltr">เป็นยุคที่ คนที่อายุมาก ประสบการณ์ มาก จะเป็นศัตรูตัวร้ายที่สุดของตัวเอง เพราะคุณกำลังเชื่อในหลายๆ สิ่งที่มันใช้การไม่ได้แล้ว และที่แย่ไปกว่านั้นคือ คนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณเขารู้หมดแล้ว แต่เขาอาจจะรักคุณมาก จนไม่อยากให้คุณเจ็บปวด หรือเกลียดคุณมาก จนไม่อยากให้คุณรู้ ให้คุณไปตายเอง ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม หายนะก็คือหายนะ และคุณจะโทษใครไม่ได้เลย</p>
<p dir="ltr">หนังสือเล่มนี้ จะเป็นบทพิสูจน์บทเล็กๆ บทหนึ่งที่ คำว่า ตรรกะที่ถูกต้อง และได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตาม Norm ของวงการใดๆ เพราะ Norm คือสิ่งที่ต้องถูกตั้งคำถาม “ทุกวัน” ในยุคที่เราเป็นอยู่นี้ </p>
<p dir="ltr">พร </p>
<p dir="ltr">--- <br>
บทนำ</p>
<p dir="ltr">แนวทางการทำงานแบบใหม่: สร้างให้เกิดอิสระและความรับผิดชอบ</p>
<p dir="ltr">ในการประชุมผู้บริหารวันหนึ่งที่ Netflix เราเพิ่งจะรู้ว่า ในอีก 9 เดือนข้างหน้าเราจะต้องใช้ Bandwitdth ของอินเตอร์เน็ท ปริมาณ เป็น ⅓ ของสหรัฐอเมริกา ธุรกิจของเราเติบโต 30% ต่อเนื่องมา 3 ไตรมาสติดๆ กัน ก่อนหน้านั้นเราแค่คิดว่า อีกหน่อยเราอาจจะใหญ่โตกับเขาบ้าง อย่างน้อยๆ ก็ต้องไปชนกับ HBO ได้ แต่ก็คงจะอีกสักพักนึง อีกหลายปี แต่แล้วพอเราเจอการเติบโต ในระดับนี้ เราก็มาลอง ให้หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ของเราคำนวณกันว่า bandwidth ที่เราต้องการ ในปีหน้า จะต้องประมาณไหน คำตอบที่ออกมาก็ทำให่้เราตกใจกันมาก “เราต้องการประมาณ ⅓ ของที่ใช้กันในประเทศอเมริกาของเรานี่ล่ะ” - พวกเราอึ้งกันไปหมด แล้วก็ถามกลับไป “อะไรนะ.??” - “แล้วมีใครในบริษัทเราที่รู้บ้างว่าเราจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” - คำตอบที่ได้มา ก็เหมือนคำตอบที่ตรงไปตรงมาอื่นๆ แบบที่เราอยู่กันที่นี่ “ผมไม่รู้ครับ” </p>
<p dir="ltr">ในช่วง 14 ปีที่ดิฉันอยู่ใน Netflix ในฐานะผู้บริหาร เราเจอสถานการณ์ที่พิสดารอันเกิดจากการเติบโตของเราเป็นประจำ บางอันก็ถึงขนาดว่าเหมือนเราเดินทางไปต่างดาวกันเลยทีเดียว เพราะธุรกิจของเรา คือการก้าวไปสู่สิ่งที่เราไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไร ทุกอย่างคือการเปิดโลกใหม่ ไม่มีหลักการอะไร ไม่มีทฤษฎีอะไร เราต้องทำไปคิดไป ตั้งแต่วันที่ดิฉันเข้ามาใน Netflix ตอนที่บริษัทเปิดใหม่ๆนั้น มันช่างแตกต่างกันตอนนี้จนแทบจำไม่ได้ เราผ่านการเปลี่ยนแปลงในแทบจะทุกๆ เรื่องอย่าางต่อเนื่องและรวดเร็ว ในรุปแบบธุรกิจของเรานั้น หากเราเพียงแค่คิดว่าจะตามให้ทัน นั่นถือว่าไม่เพียงพอ เราต้องประมาณสถานการณ์ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แล้วต้องคิดไปล่วงหน้าก่อนว่าจะต้องจัดการมันอย่างไร แล้วเตรียมรับมือมัน เราต้องจ้างคนที่เก่งฉกาจที่สุดในสาขาที่เราเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคืออะไร แล้วก็ต้องจัดทีมเดิมที่มีอยู่ในทำงานได้ เชื่อมกันได้ และที่สำคัญคือ แผนหลายๆ อย่างที่เราวางไวก็อาจไม่ได้ใช้ แล้วก็อาจมีสิ่งที่ผิดพลาด เราก็ต้องรีบสรุป ยอมรับมัน แล้วก็เดินหน้าต่อไปในทิศทางใหม่อีก บรษัทของเรา ต้องถือว่าอวตารตัวเองกันเป็นประจำ อย่างต่อเนื่อง ดิฉันยังจำได้ในวันที่เราต้องคิดว่า จะรักษาฐานธุรกิจส่ง DVD ทางไปรษณีย์ ให้ไปได้ดี แล้วก็สร้างฐานของโลก online stream ไปพร้อมๆ กัน แล้วก็ต้องเอาทั้งหมดไปขึ้น Cloud แล้วแถมยังจะสร้างหนังและทีวีซีรีย์ ของเราเองด้วย </p>
<p dir="ltr">(มีต่อ)</p>
<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-38940306878143138802008-02-11T00:44:00.000-08:002008-02-11T00:55:48.152-08:00บทความแปล - Integrated Practice in Perspective: A new model for the architectural professionโดย Andrew Pressman, FAIA – เป็นสถาปนิกแห่งนคร Washington D.C. และเป็นบรรณาธิการบริหาร ของการโครงการจัดพิมพ์ Architectural Graphic Standards, 11th Edition (2007) หรือตำรามาตรฐานการเขียนแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นหนังสืออ้างอิงที่ “สำคัญที่สุด” และได้รับการยอมรับมากที่สุดในวงการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมในสหรัฐอเมริกา<br /><br />เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรทุกวันนี้สามารถสร้างอะไรก็ได้เท่าที่นักออกแบบพึงจะสร้างสรรค์ขึ้นมา การจัดการข้อมูลทั้งหลายที่ซับซ้อนก็สามารถทำให้ง่ายลงมาเพื่อให้เจ้าของโครงการสามารถจัดการได้อย่างดี สถาปนิก ที่ปรึกษา และเจ้าของโครงการ ทำงานกันอย่างใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน<br /><br />Integrated Practice (IP) เป็นศัพท์ที่ถูกใช้ในการเรียกระบบการทำงานที่ใกล้ชิดดังกล่าว (Collaborative Process) IP เป็นระบบที่ตอบโจทย์ของตลาดการก่อสร้างในปัจจุบันที่ ต้องออกแบบให้รวดเร็วและทำการก่อสร้างให็เสร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยราคาที่ต่ำ และต้องมีคุณภาพที่สูงในหลายๆด้านเช่น คุณสมบัติเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) BIM หรือ Building Information Modeling เป็นระบบที่บังคับ ทำให้เกิดวัฒนธรรมของ Integrated Practice ตรงนี้ขึ้นมา<br /><br />BIM ก็คือคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ ที่เรียกกันว่า Parametric object-based ซึ่งไม่ได้เขียนเพียงแค่ ตัวสามมิติ หรือชิ้นงานก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังบวกข้อมูลที่ละเอียดมากเช่น การประเมิณงบประมาณการก่อสร้าง (Budget Estimates) ตารางเวลาการก่อสร้าง (Construction Schedules) ปริมาณของวัสดุที่จะใช้ (Quantities Takeoff) และการประกอบเข้าหากันของวัสดุก่อสร้าง (Fabrication Details) ระบบ Parametric Modeling ทำให้การปรับหรือเปลี่ยนที่เกี่ยวข้องกับหลายๆส่วนในงานออกแบบ ทำได้ง่ายขึ้นและตรวจสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น ซึ่งระบบดังกล่าวได้เคยถูกกล่าวไว้แล้วใน Architectural Records ฉบับเดือน เมษายน 2007 ในบทความชื่อว่า “Transformative Tools Start to Take Hold” (ขอแปลแบบด้อยสติปัญญาว่า “เครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นในการใช้และการปรับตัวเอง กำลังจะเริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นตัวหลักของการออกแบบ” - ยาวแต่คงได้ใจความครบนะครับ – ผู้แปล)<br /><br />ความสัมพันธ์ และการทำงานร่วมกันระหว่าง สถาปนิก ลูกค้า ที่ปรึกษา ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการของเรา William Caudill, FAIA หุ้นส่วนของบริษัท Caudill Rowlett Scott, ได้บัญญัติคำัศัพท์ว่า Squatters ขึ้นมาในปี 1950s โดยอธิบายการประชุมระดมความคิดระหว่าง สถาปนิก วิศวกรที่ปรึกษา ลูกค้า และผู้ใช้อาคาร เพื่อทำการร่างโปรแกรมการออกแบบ การหาคุณค่าที่สำคัญของงานออกแบบ และอื่นๆ William Lam นักออกแบบด้านแสง (Lighting Designer) ชื่อก้องโลก ได้กล่าวเกี่ยวกับขั้นตอนนี้ว่า การสนทนากันระหว่างผู้เข้าร่วมประชุมจะต้องมีบรรยากาศที่เปิดเผย ทุกคนต้องลด ego ของตัวเองลง แล้วเพิ่มความใส่ใจในผลลัพท์ชองสิ่งที่กำัลังทำงานร่วมกันให้มากขึ้น อันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้<br /><br />โดยหลักๆ Lam ได้พูดถึงพื้นฐานของวิธีการทำงานที่บริษัทในปัจจุบันควรทำในเชิงของ “Integrated Practice”ไว้แล้วในการวิจารณ์ดังกล่าง โดยทั่วๆ ไปที่เราเห็นคือ ที่ปรึกษาจะมาประชุมร่วมกันตอนต้นในการร่างนโยบายการทำงาน และวางโปรแกรม เสร็จแล้วก็จะแยกย้ายกันไป แต่ BIM เป็นระบบที่เน้นการทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง การปรับเปลี่ยนแบบและการ update ข้อมูลที่เิกิดขึี้นตลอดเวลาเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน และกำลังถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในเชิงของเวลาและค่าใช้จ่าย ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการทำงานรูปแบบใหม่นี้มีอย่างกว้างขวาง เช่น วัฒนธรรมการทำงานของบริษัท รุปแบบการเขียนสัญญาจ้างที่ปรึกษา การประกันภัยวิชาชีพ (Professional Liability Insurance) การบริหารความเสี่ยง ระบบการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงาน (Compensation) และ ระบบการศึีกษา (Professional Education) ใครก็ตามที่เข้าใจการทำงานในระบบดังกล่าว และสามารถนำมาปรับใช้กับการทำธุรกิจได้จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในองค์กรของเขา<br /><br />วัฒนธรรมของสำนักงาน (Firm Culture)<br /><br />สิ่งที่ต้องปรับตัวเพื่อเรียนรู้ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ๆ อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของมุมมอง (Attitude) ต่อการร่วมมืออย่างสมบูรณ์กับสมาชิกในทีมออกแบบทั้งหมด (วิศวกรและที่ปรึกษาอื่นๆ) Volker Mueller, Assoc. AIA ซึ่งเป็น Design Technology Manager ของบริษัทยักษ์ใหญ่ NBBJ กล่าวว่า “การที่จะทำให้สมาชิกทุกคนในทีมเข้าใจจุดมุ่งหมาย (Goal) ของโครงการร่วมกันแต่ต้น และจะต้องมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ตั้น นั้นเป็นสิ่งท้าทายและอาจจะต้องนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใ้ช้เพื่อให้การดำเนินการตรงนี้เ็ป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ”<br /><br />“สถาปนิกควรจะพัฒนาตนเองในด้านความเป็นผู้นำ (Leadership) มากกว่าความเป็นเจ้าของกิจการ (Ownership) และทำการออกแบบให้เต็มที่แทนที่จะมาั่นั่งกลัวเรื่องความเสี่ยงทั้งหลายกันอยู่” Scott Simpson, FAIA หุ้นส่วนของบริษัท KlingStubbins แห่งเมือง Boston ได้กล่าวไว้ ส่วน Andy Anway แห่ง บริษัท Amaze Design ได้กล่าวว่า “ความสามารถเฉพาะส่วนของที่ปรึกษาทั้งหลายจะต้องมีการประสานกันให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ภายใต้การนำของสถาปนิก ถ้าเรามีคนที่มีคุณภาพ มีเครื่องมือที่มีคุณภาพ มีระบบที่มีคุณภาพ ภายใต้การนำที่มีคุณภาพ งานที่ออกมาจะไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้นอกจากงานที่มีคุณภาพ สิ่งที่น่าสนใจตรงนี้คือ การปรากฎการณ์ของการ Cross Suggestion วิศวกรอาจจะนำเสนอเรื่องความงาม สถาปนิกอาจจะความเห็นเรื่องงานระบบ ซึ่งสิ่งที่สถาปนิกจะต้องปรับตัวก็คือการรับฟังความเห็นคนมากขึ้น และอาจจะสูญเสียการควบคุมโครงการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (Total Control)<br /><br />ส่วนในบริษัทเองนั้น คนที่อยู่ในระดับ Senior ขององค์กร ต้องมีการรวบรวมแนวคิดให้มุ่งไปทางเดียวกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างไป ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องของหลักการในการดำเนินการขององค์กร ปรัชญาการทำงานขององค์กรคืออะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรคืออะไร คือผลกำไรของลูกค้าที่จะได้รับ หรือกำไรของพวกเราที่จะได้รับ จะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องเชื่อเหมือนกัน และคิดไปในทางเดียวกัน<br /><br />แบบและสัญญาก่อสร้าง (Contract Documents)<br /><br />Chris Noble แห่ง สำนักงานทนายความชื่อ Noble & Wickersham (ในสหรัฐอเมริกาสัญญาการก่อสร้าง หรือการว่าจ้างออกแบบใดๆ ก็ตาม ทุกฉบับไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กต้อง ผ่านการตรวจสอบและแก้ไขจากทนายความเสมอ - ผุ้แปล)แห่งเมือง Cambridge ในรัฐ Massachusetts ให้ความเห็นว่า Integrated Practice จะมีผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบการทำงานของการวางโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในการร่างสัญญาการทำงาน การ share ข้อมูลซึ่งกันและกัน การบริหารและจัดสรรความเสี่ยง การจ่ายค่าตอบแทน และหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละบุคคล ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีมากขึ้นเืมื่อ การพัฒนาของ Design-Build ก้าวไปเรื่อยๆ (ในสหรัฐ Design-Build ยังเป็นสิ่งทีเป็นปรากฎการณ์ใหม่มาก ในขณะที่ในเอเชียของเราเป็นเรื่องปกติ) การแก้ไขมาตรฐานของสัญญาก่อสร้างต้นแบบ และการทดสอบที่จะนำวิีธีการบริหารจัดการงานก่อสร้างอื่นๆ มาใช้ในอนาคต ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ Noble กล่าวว่า “จะมีการเขียนสัญญา ที่ระบุการแ้ก้ปัญหาในกรณีต่างๆไว้ล่วงหน้า (Conditions) เพื่อสร้างการคุ้มครองทางกฎหมายให้กับทุกๆ ฝ่าย เข่น ในด้านของ ลิขสิทธิ์ (Intellectual Property Rights) ข้อยัดแย้งระหว่างฝ่าย (intra-project disputes) การสื่อสารและแนวทางการสื่อสารระหว่างบุคคล (communication protocol) และผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่พึงจะต้องเกิดขึ้น (allocate rewards commensurate with risks)<br /><br />Suzanne Harness, AIA ประธารคณะกรรมการว่าด้วยเรื่องสัญญา (Counsel for Contract Documents) แห่ง American Institute of Architects ได้กล่าวเกี่ยวกับ Integrated Practice และการแบ่งสรรความเสี่ยงให้แต่ละฝ่ายอย่างเหมาะสมว่า เรากำลังอยู่ในช่วงของการค้นคว้าเท่านั้น เรากำลังสร้างสถาณการณ์ในแต่ละระดับของการประสานกัน (Integrated) ตรงนี้ ตั้งแต่ไม่มีการประสานกันแต่อย่างใด ไปจนถึงการประสานกันอย่าง 100% ซึ่งในความเป็นจริงและ สภาวะสุดโต่งทั้งสองไ่ม่มีทางเกิดขึ้น เราเพียงแต่ต้องการหา Indicator หรือเหมือนกับ มาตรวัด เพื่อมาพยายามหาว่า สภาวะที่เหมาะสมในสถาณการณ์หลักที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงนั้นเ็็ป็นอย่างไร นอกจากนี้ เธอยังตระหนักในเรื่องของการเรียกร้องจากสมาชิกทั้งหลายให้มีการออกสัญญาต้นแบบในลักษณะ Integrated Practice ให้ออกมาโดยเร็วที่สุด แต่เธอก็ยืนยันที่จะค่อยๆ พัฒนาตามแผนเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ดีกว่ารีบออกแล้วก้ไปแก้แล้วแก้อีกระหว่างทาง<br /><br />Liability and Risk Management<br />ความรับผิดชอบต่อความเสียหายและการบริหารความเสี่ยง<br /><br />“เลือกสมาชิกทีมที่ปรึกษาด้วยความระมัดระวัง” คือคำแนะำนำของ David W. Hinson, FAIA ซึ่งเป็นคณบดีของ School of Architecture, Alabama’s Auburn University เกี่ยวกับเคล็ดลับความสำเร็จในระบบ Design-Built ในโครงการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้ คำแนะนำสำหรับระบบ Integrated Practice ก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสถาปนิกยังคงเป็น “ผู้นำ” ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดและรับผิดชอบแทนกลุ่มที่ปรึกษาทั้งหมดตามกฎหมาย (Legal Entity) ที่จะใช้ระบบ BIM ซึ่งเป็นระบบที่จะต้องมีการประสานงานกันอย่างสูงสุด ทั้งในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว (Expertise) ความไว้ใจซึ่งกันและกัน (Trust) ความเคารพซึ่งกันและกัน (Respect) และการแบ่งข้อมูลซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในทีม ระดับของความเข้มข้นในการบริหารความเสียงต่างๆ จะขึ้นอยู่กัความสัมพันธตรงนี้เป็นอย่างมาก<br /><br />Joseph H. Jones, Jr. AIA ซึ่งเป็น ผู้อำนวยการของ Victor O. Schinnerer & Company บริษัทจัดการบริหารความเสี่ยงในธุุรกิจออกแบบก่อสร้าง กล่าวว่า “สมาชิกในทีมทุกคนต้องลดความเป็นตัวของตัวเองลงอย่างมาก ต้องมีการปรับตัวตามสภาพ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันอย่างแนบแน่นในโครงการนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีการ ร่างสัญญาที่มีคู่สัญญาระว่างเจ้าของโครงการ กับทีมที่ปรึกษา แบบใหม่ (Entity) ขึ้นมา” อันดับแรกคือเลือกลูกค้ากับเลือกโครงการที่เหมาะสมที่จะใช้ระบบนี้เสียก่อน<br /><br />Lorna Parsons ซึ่งเป็นผู้บริหารอีกคนของ Sccchinnerer กล่าวว่า “การที่พวกเราในวงการทำงานผ่านทาง Internet มากขึ้นก็ทำให้ความเสียงในยุคเก่าๆ ที่เคยมีมาลดลง และเกิดความเสี่ยงประเภทใหม่ๆ ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น เรื่องของการใช้ Software ลิขสิทธิ์ เรื่องของลิขสิทธิ์ในงานออกแบบต่างๆ เป็นต้น แต่ ในขณะเดียวกัน เธอก็กล่าวว่า บริษัทของเธอจะไม่เข้าไปก้าวก่ายการทำงานของ Integrated Practice System ว่าจะต้องทำงานอย่างไรให้เสี่ยงน้อย และเธอก็ให้ความเห็นว่า บริษัทประกันภัย (ในที่นี้หมายถึงบริษัทประกันความเสี่ยงในการประอบวิชาชีพ หรือ Professional Liability Insurance) เองก็ไม่ควรจะเข้ามามีบทบาทในการกำหนดว่า Integrated Practice จะต้องดำเนินไปอย่างไรเช่นเดียวกัน ควรจะให้พวกเราทำในสิ่งที่พวกเราเห็นว่าเหมาะสม แล้วก็ให้เขาคิด เบี้ยประกันที่เป็นธรรมออกมา<br /><br />เป็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่งว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่วันหนึ่งในอนาคต Computer 3D Model จะกลายมาเ็ป็น แบบก่อสร้างที่ต้องมีการเซ็นรับรองโดยผู้ออกแบบและกลายมาเป็นเอกสาร(Documents) ที่มีผลตามกฎหมาย แต่ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความใส่ใจที่มาจากลักษณะนิสัยการในประกอบวิชาีชีพของสถาปนิกเอง และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพกับลุกค้าก็จะเป็นองค์ประกอบที่่สำคัญที่สุดในการที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือการร้องเรียน (Claim) ต่างๆ ปัจจุบันยังเป็นการยากที่จะมีการออกกฎหมายมาเพื่อควบคุมการประกอบวิชาชีพในลักษณะของ Integrated Practice องค์กรที่รับผิดชอบเรื่องการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมอย่าง National Council of Architectural Registration Board กำลังจะทำรายงานออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในปี 2008<br /><br /><br />Compensation<br /><br />มีบริษัทออกแบบบางบริษัทได้เริ่มพิจารณาในการคิดราคาค่าบริการวิชาชีพที่แตกต่างไปจากเดิมในการให้บริการแบบ Intergrated Practice สิ่งหนึ่งที่อาจจะเปลี่ยนไปได้ โดยเฉพาะในยุคที่เราใช้ Building Information Modeling อย่างมาก ก็คือ การเปลี่ยนวิธีการเก็บเงินจากแบบที่เป็น Phase (Schematic Design, Design Development etc.) ไปเป็นแบบอื่น<br /><br />James R. Brogan, AIA หัวหน้าฝ่าย IT จากบริษัท Kohn Pedersen and Fox ให้ความเห็นว่า Intergrated Practice จะทำให้ขั้นตอนที่เป็น Phase หายไป และจะมีผลโดยตรงต่อรูปแบบการเชียนสัญญาระหว่าง สถาปนิก-ที่ปรึุกษา-ลูกค้า ซึ่งก็หมายความว่า สัญญามาตรฐานจาก AIA ก็จะต้องถูกปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ คำสำคัญ (Term) ที่ใช้ในทางกฎหมายซึ่งสื่อความหมายของความสัมพันธ์ในการทำงานจะถูกปรับปรุงและตีความใหม่เกือบหมด นอกจากระบบที่น่าสนใจเช่่น Project-Alliance System ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศอื่นๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา (ระบบที่มีการให้เงิน Bonus หรือ ค่าปรับ ตามคุณภาพของงานที่ได้รับ โดยรวม ซึ่งเป็นผลงานของทีมทั้งหมด) อาจจะถูกนำเข้ามาใช้<br /><br />“Value เป็นสิ่งที่จะต้องถูกแสดงให้ เจ้าของหรือผู้ที่จะจ่ายค่าบริการวิชาชีพเข้าใจให้ได้” Scott Simpson ได้กล่าวไว้ “สถาปนิกจะต้องเรียนรู้ิวิธีการอธิบาย คุณค่า (อาจจะแปลว่ามูลค่าก็ได้ เพราะเป็นการเปรียบเทียบกับเงิน – ผู้แปล) ว่าเราทำอะไรให้กับลูกค้าบ้างที่คุ้มค่าเงินที่จะออกจากกระเป๋าของเขา ถ้าลูกค้าเขาใจและเห็นคุณค่า ลูกค้าจะยินดีมากที่จะจ่ายเงิน” การออกแบบที่มีประสิทฺธิภาพ และการประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสามารถทำให้ลูกค้าเห็น Value ดังกล่าว “การลดปริมาณของ Change Order (การเปลี่ยนแปลงแบบในระหว่างการก่อสร้าง) และการลดเวลาก่อสร้างโดยรวมลง เป็นสิ่งที่ลูกค้าจดจำได้และตระหนักถึงประสิทธิภาพที่เรามอบให้” แต่บางคนก็มองว่า การใ้ห้ Value ที่เพิ่มขึ้นตรงนี้ไม่ได้แปลว่าเราจะไปเก็บเงินลูกค้าเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว เพราะในจุดหนึ่ง Integrated Practice ที่เคยเป็นจุดที่ทำให้บางบริษัทมีประสิทธิภาพเหนือคู่แข่ง ก็จะกลายมาเป็นมาตรฐานปกติที่ทุกๆคนใช้กัน เหมือนกับ เทคโนโลยีอื่นๆ<br /><br /><br />Implication for Architectural Educationsผลกระทบต่อวงการศึกษาสถาปัตยกรรม<br /><br /><br />สถาบันการศึกษาสถาปัตยกรรมหลายๆ แห่งยังพยายามผลิตนักศึกษาที่เข้าใจว่าจะได้ออกมาทำงานเป็นวีรบุรุษหรือวีรสตรีเพื่อ****้โลกด้วยตัวเองเพียงคนเดียวอยู่ แน่นอนว่า Integrated Practice จะทำให้แนวความคิดดังกล่าวต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป การศึกษาไม่เพียงแต่สอนเรื่องการออแบบหรือการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะต้องมองไปถึงการสอนเรื่อง ภาวะความเป็นผู้นำ (leadership) การสื่อสารกับคนนอกวิชาชีพ การทำงานร่วมกับคนที่ีมีมุมมองแตกต่างกับตนเอง การให้ความเคารพกับคนในวิชาชีพอื่นๆ เป็นต้น Renee Cheng, AIA อาจารย์แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Minnesota ได้กล่าวไว้ว่า “แน่นอนว่าเรื่องการออกแบบยังคงเป็นวิชาเอกที่ต้องศึกษาสำหรับเราต่อไป แต่วิชารองอันดับต้นๆ นั้น ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เราเห็นว่าทักษะที่สำคัญที่นักศึกษาจะต้องมีคือ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะในการเจรจาและการวางแผน หรือทักษะใดๆ ก็ตามที่จะทำให้นักศึกษาเหล่านี้ มีความสามารถในการประสานงานได้อย่างดีกับวิชาชีพอื่นๆ ที่อยู่ในวงการก่อสร้างเหมือนๆ กัน”<br /><br /><br />แน่นอนว่า คำถามต่อไป คือ จะเอาวิชาที่เกี่ยวกับทักษะใหม่ๆ เหล่านี้เข้าไปยัดใส่ตารางเวลาที่แน่นมากๆ อยู่แล้วสำหรับนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ได้อย่างไร อาจารย์ Cheng ก็เตือนไว้ว่า ถ้าจับวิชาเหล่านี้มาแทนที่วิชาการออกแบบจะทำให้เราเสียความเป็นตัวตนและทักษะหลักของเราไป เธอเสนอให้นำแนวความคิดของ BIM เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิชาหลายๆ วิชาแทนที่จะตั้งเป็นวิชาหลักต่างหาก การที่นักศึกษาเกิดความเข้าใจว่า BIM เป็นส่วนหนึ่งของการประกอบวิชาชีพที่สำคัญ ไม่ต่างกับเรื่องของการออกแบบที่แทรกสอดเข้าไปในทุกๆ วิชาของการเรียนสถาปัตยกรรมนั้น จะทำให้นักศึกษาไม่แยก BIM ออกไปเป็นชิ้นส่วนที่สามารถ โยนทิ้งไปได้เมื่อเรียนจบวิชา หรือเมื่อจบการศึกษา<br /><br /><br />ทุกวันนี้ Practice Academy ซึ่งเป็นองค์กรที่ ทำการศึกษาค้นคว้าเพื่อทำการพัฒนาการศึกษาสถาปัตยกรรม ได้พยายามอย่างยิ่งในการที่จะเชื่อมโลกของการทำงาน (Practice World) เข้ากับโลกของการศึกษาสถาปัตยกรรม (Academic World) และได้จัดหาเงินทุกเพื่อให้สถาบันการศึกษาต่าๆ เข้ามารับเพื่อนำไปใช้ในการทดลองสร้างหลักสูตรที่ตอบโจทย์ดังกล่าว Boston Architectural College เป็นหนึ่งในสถาบันแรกๆ ที่รับทุนนี้ โดยพยายามสร้างหลักสูตรที่มีเนื้อหาของ Integrated Practice และ Building Information Modeling อย่างเต็มที่ โดยร่วมมือกับ บริษัทชั้นนำในท้องถิ่นหล่ายๆ แห่งที่ใช้ระบบเดียวกัน ซึ่งเป็นประโยชน์กับนักศึกษาเป็นอย่างมาก Bruce E. Blackmer, FAIA ประธานของ National Architectural Accrediting Board (NAAB) หรือ องค์กรรับรองสถาบันการศึกษาสถาปัตยกรรมของสหรัฐ ได้ยอมรับว่า แม้ว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างสถาบันที่นำระบบ IP หรือ BIM เข้ามาอยู่ในหลักสูตร ว่าสถาบันนั้นจะมีโอกาสในการได้รับรองจากองค์กรมากขึ้นหรือไม่ แต่ก็เชื่อว่า ทักษะที่นักศึกษาได้รับนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตการประกอบวิชาชีพของนักศึกษาเป็นอย่างมาก และจะทำให้ผลงานออกแบบของนักศึกษาเหล่านี้มีคุณภาพมาก ในปี 2008 NAAB จะมีการประชุมว่า ควรจะนำหัวข้อของ BIM และ IP เข้ามามีส่วนร่วมในการรับรองสถาบันการศึกษาด้วยหรือไม่<br /><br /><br />And what about preliminary design?<br />การอภิปรายจะไม่มีทางสมบูรณ์ได้ถ้าเราเหล่าสถาปนิกไม่พูดถึงเรื่องที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดคือเีืรื่องของขั้นตอนการออกแบบเบื้องต้น เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่ว่างเพื่อใช้ในการทำงาน การอยู่อาศัย และสันทนาการ การออกแบบในขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สถาปนิกมีบทบาทมาก แทบจะเรียกได้ว่ามีอิทธิพลมาจากความเป็นตัวตนของสถาปนิกผู้ออกแบบคนนั้นๆ เป็นส่วนใหญ่ (Personal and Idiosyncratic) และจะเป็นกระบวนการที่ผ่านการใช้สื่อ แบบหยาบๆ เพื่อให้เห็นภาพ เช่น การใช้ปากกา กระดาษร่าง โปรแกรมสามมิติ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่จะไม่มีทางหายไปไหนในวงการออกแบบ<br /><br />Geoffrey Adams ซึ่งเป็น อาจารย์ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แห่ง มหาวิทยาลัย New Mexico ได้ให้ความเห็นในเรื่องของความแตกต่างในการสร้าง ข้อมูลด้วยโครงสร้างที่คิดถึงการใช้สอยโดยไม่มีรายละเอียดของตัววัสดุและการก่อสร้าง (algorithmic computation) กับการสร้างข้อมูลด้วยการทำความรู้ที่ซับซ้อนจากรายละเอียดต่างๆ เข้ามาประกอบกัน (associative thinking) โดย Professor Adams เห็นว่า ระบบ Associative Thinking นั้น เป็นระบบที่มีซับซ้อนและหากต้องการเพิ่มองค์ประกอบของความเป็นศิลปะเข้าไปนั้น ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถไปถึงตรงนั้นได้ ยังคงต้องใช้มันสมองของมนุษย์ในการสร้างสรรค์ต่อไป แต่ก็ยอมรับว่า BIM เป็นระบบที่มีเสนห์ต่อวงการศึกษามากเช่นกัน แต่ก็อยากให้ใช้เป็นโครงการต่อโครงการไปก่อนในปัจจุบัน<br /><br />ไม่มีเทคโนโลยีระดับไหนที่จะก้าวข้ามพลังแห่งการสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญในวงการหลายๆ คนที่มีความกังวลในเรื่องการเสพติดคอมพิวเตอร์ของนักออกแบบยุคใหม่ เพราะทำให้เกิดความมักง่าย เวลาออกแบบก็จะออกแบบด้วยการทำโมเดลที่่โปรแกรมสร้างมาให้เป็นโครงร่างพื้นฐาน Earl Mark อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม แห่ง University of Virginia’s Department of Architecture ซึ่งเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์มาก่อน ได้ระบุปัญหานี้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญและจะขยายตัวออกไปมากขึ้น ปัญหาในฝั่งของนักออกแบบ Software เองก็คือ ถ้า Software ในอนาคตมีความซับซ้อนมากขึ้น ความมักง่ายตรงนี้มีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นตามไปด้วย<br /><br /><br />After Integrated Practice, What’s Next? ผู้เชี่ยวชาญหลายๆคนที่ให้สัมภาษณ์ในบทความนี้เห็นตรงกันอยู่ประเด็นหนึ่งว่า BIM จะเป็นระบบที่ไม่สามารถถูกนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตราบใดที่ผู้รับเหมาก่อสร้างไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยตั้งแต่ต้น รวมทั้งที่ปรึกษาทั้งหลายด้วย แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นได้ ลูกค้าก็จะต้องมีความเชื่อมันต่อการทำงารของระบบ Design-Build (ทำกันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เป็นอย่างน้อย ในประเทศญี่ปุ่น – ผู้แปล) มากกว่าระบบ Design-Bid-Build ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมี ค่าใช้จ่ายต่อความผิดพลาดในการสื่อสารข้อมูลระหว่างบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการทำงานสูงกว่า แต่เจ้าของมีอำนาจในการควบคุมมากกว่า เป็นต้น<br />ในสภาพแวดล้อมของการทำงานในปัจจุบันนั้น ไม่เพียงแต่เราจะต้องทำงานให้ตรงเวลาและตรงตามงบประมาณ พร้อมกับรักษาคุณภาพอย่างเต็มที่เพียงเท่านั้น Integrated Practice จะไม่มีความหมายอะไรถ้าเราไม่สามารถนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายใต้ การทำงานอย่างถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณของสถาปนิก ถ้าจะถามความหมายของคำว่า Integrated Practice แบบง่ายๆ แล้ว ก็อาจจะแปลได้ว่า “อัจฉริยะ” นั่นเอง<br /><br />--จบ--<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-76420395983075361722007-11-16T01:40:00.000-08:002007-11-16T01:41:24.135-08:00Thai Fire & Rescue Training Academy กับภาพย้อนหลังไปสู่ “โรงเรียนสอนดับเพลิง” Thesis ปริญญาตรี ของข้าพเจ้าที่จั่วหัวไว้นี่ เป็นความจริงครับ เมื่อประมาณ เกือบสิบปีที่แล้ว<br />ในการศึกษาปีที่ห้า ผมได้มีความคิดที่จะทำโรงแสดงคอนเสิร์ต เป็นโครงการวิทยานิพนธ์ปริญญาตรี เพราะตัวเองเป็นนักดนตรี แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อวันหนึ่งได้เข้าไปอบรมเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัยภายในอาคารสูง โดย พล ตำรวจ ตรี โชคชัย ยิ้มพงษ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องการดับเพลิง<br />ผลจากการบรรยายคราวนั้นให้แรงบัลดาจใจกับผมมาก และทำให้ได้ทราบว่า กิจการการดับเพลิงและกู้ภัยของประเทศไทย ยังไม่มีการจัดการในแง่ของการฝึกระดับสูง (Advance) และในขณะนั้น ท่านโชคชัยก็บอกว่า กำลังมีการตั้งแนวทางการศึกษาเพื่อก่อตั้งสถาบันดังกล่าวอยู่ จึงตัดสินใจนำมาเป็นหัวข้อโคงการวิทยานิพนธ์ ชื่อ สถาบันอัคคีภัยแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนสอนดับเพลิงระดับสูง พิพิธภัณฑ์การกู้ภัยสำหรับเด็กๆ สถานฝึกอบรมสำหรับคนทั่วๆ ไป<br />ของแบบนี้ ตอนทำก็สนุก พอทำเสร็จก็ลืมครับ เวลาก็ผ่านไป<br />ผมเองก็ได้ทำงานในสหรัฐอเมริกาก็ทำใหได้เรียนรู้เกียวกับเรื่องนี้มาอีกระดับหนึ่ง ชีวิตการออกแบบของสถาปนิกที่นี่ เรื่องที่ต้องทำอยู่ทุกวันในการตัดสินใจใดๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสอนเรื่องคือ เรื่องความปลอดภัยจากเพลิงไหม้ ซึ่งกฎหมายควบคุมทั้งหลายจะเล็งประเด็นนี้เ้ป็นหลัก อีกเรื่องคือเรื่องความเป็นไปได้ในการใช้อาคารของคนพิการ (Accessibility)<br />แต่ผมก็แทบจะไม่ได้คิดถึงเรื่อง สถาบันนี้อีกเลย<br />แต่เมื่อเช้านี้ก็ได้เกิดความรู้สึกประทับใจ ที่เหมือนทำให้ได้รับรู้ถึงอดีตที่กลับมาใหม่<br />เรื่องของเรื่องคือผมได้อ่านพบเรื่องราวเกี่ยวบกับสถาบันชื่อ Thai Fire & Rescue Training Academy – สถาบันดับเพลิงและกู้ภัยชั้นสูง ที่นี่ครับ<br /><a title="http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=" href="http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000010910">http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000010910</a><br />ความรู้สึกมันยังกับฝันที่เป็นจริง<br />ใครๆ ที่เคยทำ Thesis แล้วโครงการของตัวเอง เกิดเป็นจริงขึ้นมา ก็คงจะเข้าใจความรู้สึกนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนไปลงมืออกแบบก่อสร้างเองจริงๆ ก็เถอะ<br />ผมได้อ่านบทความ แล้วก็ได้เข้าไปดูใน Website ของสถาบัน ก็รู้สึกประทับใจมากที่มีคนพยายามทำอะไรดีๆ ให้กับประเทศของเรา การฝึกทั้งหลายแน่นอนว่า ที่เป็นหลักคือการฝึกกู้ภัย แต่ที่น่าสนใจคือเขารับให้คำปรึกษากับการกู้ภัยในโครงการต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเราโดยตรง<br />ท่านที่รับนิตยสาร อาษาอาจจะเคยได้อ่านที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องแบบแผนอพยพ หรือ Exit Plan มาแล้ว มันคืออะไรทำนองนั้นล่ะครับ แต่ที่สถาบันนี้จะให้คำปรึกษาในระดับรายละเอียดที่ Advance มากๆ โดยเฉพาะถ้าโครงการเป็นประเภทอันตราย เช่นโรงงานเคมี คลังน้ำมัน โรงพยาบาล เป็นต้น<br />เว็บของสถาบันแห่งนี้คือ<br /><a title="http://www.thaifire.com/" href="http://www.thaifire.com/">http://www.thaifire.com/</a><br />อยากจะให้สถาปนิกทุกๆ ท่านลองเข้าไปดู ผมได้ปรึกษากับท่านชาติชาย ไทยกล้า ผู้บริหารสถาบัน (ซึ่งท่านก็มีลูกสาวเป็นสถาปนิก) ว่า เราน่าจะมีโครงการอะไรที่สถาปนิกจะได้เข้าไปเรียนรู้กันได้บ้าง ท่านชาติชายมีประวัติที่ผมพูดได้คำเดียวว่า God มาก ท่านเป็นครูฝึกที่สอนฝรั่งอเมริกันมาแล้ว ผ่านการฝึกมาแล้วทุกรูปแบบ นักบินท่านก็เป็น โดดร่ม ดำน้ำ ก็ได้คือสถาณการณ์ฉุกเฉินเกือบทุกรูปแบบ ท่านเคยผ่านการฝึกเพื่่อเข้ากูภัยและแก้ปัญหามาเกือบหมดแล้ว<br />คือเราได้รับการฝึกอบรมเรื่องการออกแบบเพื่อให้คนหนีออกจากอาคารได้มาพอสมควร เราก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป แต่ผมว่าีมีพวกเราน้อยคนมากที่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบอาคารเพื่อให้สะดวกในการเข้ากู้ภัยโดยหน่วยกู้ภัย หรือที่เรียกกันว่าเป็น “Firemen’s Friendly” ทำนองเดียวกับ User’s Friendly ที่แปลว่า ใช้ง่าย<br />การออกแบบให้หน่วยดับเพลิงหรือหน่วยกู้ภัย มีความสะดวกในการทำงานนั้นก็เท่ากับว่า เราจะทำให้เราช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีใช่มั้ยครับผม<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-17719203049882594952007-11-16T01:31:00.000-08:002007-11-16T01:33:38.566-08:00ดินสอที่มีอักษรเขียนว่า "เงินไม่สำคัญ"เมื่อวานเพิ่งตอนเดินออกไปกินกาแฟ ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ผมได้หยิบดินสออันหนึ่งที่ตกอยู่บนทางเท้าขึ้นมา เป็นดินสอที่หักซีกที่ตกอยู่เป็นซีกที่มีปลายแหลมสำหรับเขียน แล้วมีอักษรเขียนอยู่ด้านข้างว่า "Money is not important" หรือ เงินไม่สำคัญ ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายๆ อย่างและอยากจะเอามา share ให้เพื่อนฟัง<br />ผมคิดว่าประโยคนี้ คงไม่ใช่ประโยคที่จบในตัวเอง คิดว่าน่าจะมีประโยคอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในอีกครึ่งหนึ่งของดินสอที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประโยคนั้นอาจจะเขียนว่า "Jesus is Important" หรือ "Family is important" หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะผมเชื่อว่านี่คือดินสอของที่ระลึกจากโบสถ์หรือองค์กรเอกชนที่ต้องการลดพฤติกรรมการทำงานหนักอย่างแรง เพื่อเงินของคนอเมริกันและหันมาเข้าหาศาสนาหรือให้เวลากับ ครอบครัวมากขึ้น แต่การที่ได้เห็นประโยคแค่ว่า "เงินไม่สำคัญ" ทำให้ผมได้แต่ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า<br /><br /><br />สิ่งที่แล่นเข้าหาสมองของผมตอนนั้นก็คือว่า ผมจะใช้ดินสอนนี้ทำอะไรได้บ้าง<br />แน่นอนผมก็สามารถเอาดินสอนี้ไปเขียนหนังสือได้ ผมจะเขียนอะไร ผมอาจจะเขียนเรื่องราวหรือกลอนที่ใช้เป็นแรงบันดาลใจคนทั้งโลก หรือใครก็ตามที่อยากจะอ่าน หรือผมอาจจะใช้เขียนคำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังให้คนเกิดความแค้น หรือผมอาจจะหยิบดินสอนี้ขึ้นมาแล้วหันปลายแหลมเข้าหาตัวเอง แล้วก็ … ทิ่มคอตัวเองตาย ก็เป็นได้<br />อุปมาที่น่าขันที่สุดในแนวคิดนี้ คือว่า คนในสังคมโลกของเรา ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน มีทางเลือกในการใช้ประโยคที่ว่า “เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ” ได้ไม่ต่างกับดินสอที่ผมพูดถึงนี้เลย<br />คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่จะทำให้ชีวิตคุณมีแต่ความสุขความสงบ เหมือนกับการเขียนกลอนจรรโลงโลก หรือคุณอาจจะใช้ประโยคนี้ในการฆ่าตัวตายด้วยการเอาปลายแหลมของมันทิ่มคอหรือหัวใจของตัวเองให้สิ้นชีพไปก็ได้<br />คนที่พูดว่าเงินไม่ใช่ิสิ่งที่สำคัญที่ผมรู้จักในชีวิตมีอยู่สองรูปแบบคือ<br />หนึ่ง คนที่ทำมาหากินมาหนักสร้างเนื้อสร้างตัวมาจนถึงระดับที่มีเงินมากเสียจนรู้สึกว่า มันไม่ใช่ปัญหาของชีวิตของเขาอีกต่อไป เขากลับรู้สึกว่าการมีเงินมีทองนั้น มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเขาเติมเต็ม เขารู้สึกว่า ชีวิตมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นที่รอให้คนหาอยู่ เช่นการเข้าหาธรรมะ การช่วยเหลือสังคม หรือการหาความตื่นเต้นอื่นๆ<br />สอง คือคนที่ ทั้งชีวิตไม่มีความพยายามที่จะทำงานหนักอะไร ไม่มีความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองอะไร ไม่ยอมแม้กระทั่งจะพยายามดูสักครั้งเพื่อไปถึงสิ่งที่ฝัน แล้วก็เลยสร้างกำแพงล้อมตัวเองในใจ โดยใช้ประโยคว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ” มาเป็น “ข้อแก้ตัว” ที่ทำให้ตัวไม่จำเป็นต้องพยายาม ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ<br />บุคคลสองกลุ่มนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากเปรียบเทียบเป็นยอดยุทธในบู๊ลิ้ม:<br />บุคคลกลุ่มแรก คือกลุ่มที่ไปถึงจุดสูงสุดแล้วคืนสู่สาัมัญ เขาได้ไปถึงจุดที่มีเงิน มีทอง ประสบความสำเร็จแล้วเขา แน่ใจอย่างชัดเจน ว่าเงิน เป็นเพียงเครื่องมือในการใช้ชีวิตเท่านั้น ไม่มีวันที่ตัวมันเองจะเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตไปได้ แถมยังเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ให้ถูก ถ้าใช้ผิดจะมีแต่ความทุกข์ แต่คนกลุ่มนี้ถ้าถูกรุกราน ก็จะสามารถป้องกันตัวเองและควบคุมการดำเนินชีวิตตัวเองได้เพราะมีวิทยายุทธอยู่<br />บุคคลกลุ่มที่สองคือคนที่ไ่ม่เคยหัดหมัดหัดมวย คิดว่า หัดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้จะไปสู้กับใคร หัดไปประสบความสำเร็จก็มีแต่ความว่างเปล่าแบบที่คนกลุ่มหนึ่งเป็น ก็เลยคิดว่า ไม่ต้องหัดเสียก็ดี แต่พอถึงเวลาที่มีเหตุการณ์ ถูกรุกราน คนกลุ่มนี้ก็จะช่วยอะไรตัวเองไม่ได้<br />ทำไมเงินจะไม่สำคัญ ทั้งๆ ที่ในโลกปัจจุบันของเราเป็นโลกเศรษฐกิจทุนนิยม<br />เงินนั้น มีความสำคัญอย่างแน่นอน ในส่วนที่มันมีความสำคัญได้ และเงินนั้นก็ไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อยในส่วนที่มันไม่มีความสำคัญได้<br />เงินเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ต่างกับฆ้อน หรือ ไขควง เราต้องใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์<br />ถ้าท่านในแง่ดี ก็คือ บริจาค สร้างโรงพยาบาล สร้างสาธารณกุศล สร้างโรงเรียน ก็ว่าไปถ้าท่านในแง่ลบ ก็คือ ฆ่ากัน ทำสงครามกัน<br />นั่นคือสิ่งที่เงินซื้อได้<br />แต่เงินไม่สามารถซื้อ ความรัก การให้อภัย การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ความโอบอ้อมอารี<br />ซึ่งสิ่งเหล่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และห่างไกลจากเรื่องของเงินมาก ทำให้หลายๆ คนที่อยู่ในกลุ่มที่สอง(กลุ่มแก้ตัว) ยิ่งมีข้อสนับสนุนแนวคิดของตัวเองว่า เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญของตน ได้มากขึ้นไปอีก แต่นั่นคือการเอาปากกาทิ่มคอตัวเองตายอยู่ !!<br />ถ้าท่านใช้ประโยคว่า “เงินไม่มีความสำัคัญ” เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต ท่านจะมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี รู้จักบริจาค ให้ท่าน มีชีวิตพอเพียง เวลาตายจะไม่กังวลเรื่องทรัพย์สิน เพราะท่านได้ละแล้ว ไม่ยึดติดกับมันแล้ว นั่นคือการใช้ปากกาเขียนกลอนจรรโลงโลก<br />แต่ถ้าท่านใช้ประโยคว่า “เงินไม่มีความสำคัญ” มาเป็นข้อแก้ตัวในการดำเนินชีวิจของท่าน ท่านก็จะสามารถใช้ประโยคนี้ไป apply กับสิ่งอื่นๆ ได้ เช่น “การส่งลูกเรียนสูงๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” การที่หาเงินให้พ่อแม่เกษียณ ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การที่จะให้ภรรยาของท่านไม่ต้องทำงานหนก ดูแลลูกอยู่กับบ้าน อบรมลูกให้เป็นคนดี ก็ไม่สำคัญอะไรมาก นั่นคือการใช้ปากกา ทิ่มคอตัวเองตายอย่างชัดเจน<br />สิ่งที่ผมกำลังพยายามจะพูดถึงคืออะไร<br />ผมกำลังบอกว่า การจะหยิบดินสอนหรือปากกาขึ้นมาทำอะไรนั้นเป็น “ทางเลือก” ของท่านที่ถือดินสอหรือปากกาอยู่ เพียงคนเดียว<br />การจะเขียนกลอนหรือบทความ หรือบทเพลงให้คนทั่งโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านต้องหาข้อมูล ฝึกฝนตัวเอง มีจิืตใจที่แนวแน่ มีความพยายามที่จะพัฒนา ซึ่งก็เหมือนกับความตั้งใจในการทำุธุรกิจที่จะหาเงิน ต้องมีจิตใจที่แนวแน่ ไม่ย้อท้อต่อความยากลำบาก ไม่กลัวความเหนื่อย ไม่กลัวที่จะถูกปฎิเสธ เป็นหนทางที่ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ราววัลที่ได้รับนั้น หอมหวานมาก และท่านจะไปสู่จุดสูงสุดอันเป็นปรัชญาที่เข้าใจความหมายอย่างแท้จริงของประโยคที่ว่า “เงินไม่สำคัญ” นั้น คืออะไร<br />แต่การเอาดินสอหันเข้าหาตัวเองแล้วเอา ทิ่มคอตัวเองมันง่าย แค่ยกมือเพียงครั้งเดียว ชีวิตท่านก็จะจบสิ้น ไม่ต่างกับการที่่คนๆ นั้นไม่สนใจที่จะพัฒนาอะไร พูดว่าอยากทำธุีรกิจออกแบบให้ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เคยค้นคว้า ไ่ม่เคยศึกษาหาตัวอย่างอะไร แต่ดันเลือกที่จะเป็น “เหยื่อ”<br />โปรดสังเกตุว่าผมใช้คำว่า “เลือก” ที่จะเป็นเหยื่อ<br />ผมไม่เชื่อว่าในชีวิตนี้มีใครที่ เกิดมาเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เข้ามาเป็นสถาปนิกในวงการวิชาชีพอันทรงเกียรตินี้ได้ คนที่กลายเป็นเหยื่อคือคนที่เลือกที่จะเป็นเองลักษณะของเหยื่อ คืออะไร ? เจ้านายของผม Mr.Arthur Danielian ที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในวงการสถาปัตยกรรมเคยบอกผมไว้ว่า มีสี่อย่าง<br />1. Blaming หรือ โทษคนอื่น – เหยื่อคือคนที่โทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวเวลาที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ โทษลูกค้า โทษสมาคม โทษหัวหน้า โทษลูกน้อง โทษเพื่อนร่วมงาน โทษสภาสาปนิก โทษภรรยา และแน่นอนที่สุด หลายๆ คนโทษพ่อแม่ตัวเองที่เลี้ยงตัวเองมาเป็นแบบนี้้ ปัญหาคือ เหยื่อเหล่านี้ โทษคนทั้งโลกยกเว้นตัวเอง<br />2. Justifying หรือ แก้ตัว – เหยื่อคือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จแล้ว พยายามแก้ตัว ว่าสิ่งที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จไม่ได้มีความสำคัญเช่น ไม่เห็นจะต้องไปสอบกส ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องไปเรียนเรื่องการตลาด ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ต้องไปเรียนเรื่องการวางระบบเพราะไม่สำคัญอะไร สรุปแล้ว อะไรที่ตัวเองทำไม่สำเร็จ ก็จะบอกว่าไม่สำคัญ เป็นการสร้างเกราะกำบังให้ตัวเอง แทนที่จะยอมรับความไม่สำเร็จตรงนั้นแล้วพยายามใหม่ กลับบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จอยู่นั้นเป็นคนที่หลงทาง ทำอะไรที่ไม่มีความสำัคัญอยู่<br />3. Complaining – บ่น – นี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เหยื่อจะทำได้ พอมีปัญหาอะไรก็บ่น หรือด่า แต่ไม่คิดจะต่อสู้ ไม่คิดจะมานั่งปรึกษาหาวิธีที่จะทำอะไรให้ดีขึ้น พอมีปัญหา ก็ด่าสมาคม ด่าสภา ด่าผู้บริหาร พอบอกให้ส่งจดหมายไปร้องเรียนสักฉบับก็บอกว่า ส่งไปก็ไ่ม่มีประโยชน์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลอง สรุปก็คือ ขอให้ได้บ่น การบ่นหรือด่า นั้นเป็นการรวมรวมความเลวร้ายที่เป็นสิ่งไม่ดีในชีวิตเข้ามาหาตนเอง เวลาทีคนเราบ่น เรากำลังพยายามมุ่งเน้นอะไรอยู่? เรามุ่งเนั้นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในชีวิตเรา ถ้าเราวันๆ เองแต่มุ่งเน้นสิ่งที่ไม่ดีมากๆ เราจะกลายเป็นเหมือนกับแม่เหล็กที่ดูดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้เข้ามามากขึนๆๆๆๆ<br />4. Back Stabbing หรือ นินทาคนอื่น – เป็นการกระทำที่ไมไ่ด้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย และเป็นอีกครั้งที่มุ่งเน้นแต่เนื้อหาในแง่ลบของชีวิตเข้ามาใส่ตัว เป็นสี่งที่เสียเวลาในชีวิตมาก แทนที่จะเลือกทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ชอบคนๆ นี้ ก็ควรจะเลือกว่า หนึ่ง จะไม่คุยกับคนๆ นั้นอีก หรือ สองคือ ทำตัวเ็ป็นศัตรูคู่อาฆาต ต่อสู้ฟาดฟันกับคนๆ นั้นไป แต่ขอร้องว่าทำอะไรสักอย่าง อย่ามัวแต่นั่งนินทา<br />Mr. Danielian บอกอีกว่า ถ้าท่านอยากจะทำให้ชีวิตท่านกลายเป็นพลังที่มีแต่แง่บวก ขอให้เลิกเป็นเหยื่อเสีย ก็คือ จงงดกิจกรรมสี่ประการในชีิวิตของท่านให้หมดสิ้น ลองดูสัก สองสามอาทิตย เลิก โทษคนอื่น เลิกแก้ตัว เลิกบ่น แล้วก็เลิกนินทา ท่านอาจจะเห็นว่าชีวิตท่านเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ<br />สรุปคือ ปากกาแท่งนี้อยู่ในมือของท่านแล้ว ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะเริ่มฝึกตัวเอง ฝึกตัวเองให้หนัก ฝึกให้ตัวเองมีความเหนื่อยยากหรือ Uncomfortable ตั้งแต่วันนี้ เรียนรู้เรื่องการทำการตลาด การวางระบบ การจัดการเรื่องการเงิน เพื่อให้ท่านมีความเจริญเติบโตต่อไปข้างหน้า เพื่อให้ท่าน สามารถเป็นผู้เขียนกลอน หรือบทกวีบรรลือโลก สักวันหนึ่ง และมีประโยคที่ว่า “เงินไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ” เป็นปรัชญาประจำตัวของท่าน หรือท่านจะเลือกวิธีง่ายๆ ที่จะเอาปากกาแท่่งนี้ ทิ่มคอตัวเอง ท่านต่อไปๆๆๆ อย่างต่อเนื่อง แล้วก็มีประโยคที่ว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ” มาเป็นข้อแก้ตัวและพันธนาการที่จะปิดโอกาสในการสร้างความเจริญของท่านไปตลอดชีวิต?:)<br />เชิญพี่ๆ น้องๆ อภิปรายได้ตามสะดวกต่อจากนี้นะครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-34870545835861359702007-11-16T01:02:00.000-08:002007-11-16T01:18:33.958-08:00บทความแปล: นอกจาก Zaha Hadid แล้วยังมี "พวกเธอ": สุภาพสตรีที่เป็นเจ้าของบริษัทสถาปัตย์ยุค 2000 น่าจะเป็นยุคที่เป็น Power of the Women ใช่มั้ยครับ<br />เราเคยคิดว่า วิชาชีพสถาปนิกเป็นวิชาชีพของผู้ชายสมัยโน้น ตอนนี้ คณะสถาปัตย์ชั้นนำหลายๆ แห่ง มีผู้หญิงเรียนพอๆ กับผู้ชายแล้ว และอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ<br />ใครที่เรียนเก่งที่สุดในชั้นครับ ? ใครที่จด lecture เก่งที่สุด เพื่อนๆ ต้องมาของ Zerox ถ้าไม่ได้เอามานั่งอ่าน หลายๆ คนอาจจะเรียนไม่จบ ก็เพื่อนผู้หญิงของพวกเราใช่มั้ยครับ<br />นั่นคือความสามารถของพวกเธอ แล้วในระดับความเป็นผู้นำของโลกล่ะ ?<br />เราได้เห็นสุภาพสตรี ได้กลายมาเป็นผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างเยอรมันนี กลายมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ กลายมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของนอร์เวย์ (จริงคนนี้เป็นมาก่อนปี 2000 อีก) เร็วๆ นี้เราอาจจะได้เห็นสุภาพสตรีเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐอเมริกาก็ได้<br />มาลองดูวงการของเรา ในประเทศเราก็มีสถาปนิกสุภาพสตรีที่เป็น Sole Owner หรือเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว ของบริษัทออกแบบหลายคนแล้วเหมือนกัน<br />ในสหรัฐอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่นๆ ก็มีสถาปนิกสุภาพสตรีหลายคนที่เป็นเจ้าของเพียงคนเดียว และทำการบริหารจัดการกิจการของตัวเองจนเจริญรุ่งเรือง ไม่แพ้ หมายเลขหนึ่งอย่าง Zaha Hadid ที่เป็นที่รู้จักกันดี และแน่นอนว่าไม่แพ้ชายอกสามศอกแต่อย่างใด (บางทีอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ)<br />มาลองดูเรื่องราวของหญิงแกร่ง และหญิงเก่งเหล่านี้ เขียนโดย Suzanne Stephens แห่ง Architecture Record ฉบับเดือน ธันวาคมปี 2006 ครับ<br /><br />ปล.โดยผู้แปลขอร้องว่าอย่ามองกระทู้นี้เป็น กระทู้ Sexist กันเลยนะครับ ไม่ได้ต้องการจะเอาผู้หญิงเพศแม่มาดูถูก หรือ จะเอาผู้ชายแบบพวกเรามาดูถูกเปรียบเทียบอะไรกันเลย เพียงแต่ผมคิดว่าวิชาชีพของเราซึ่ง เรามักจะเห็นคนที่ประสบความสำเร็จดังๆ มักจะเป็นสุภาพบุรุษ บทความนี้ได้สะท้อนมุมมองที่ตรงกันข้ามกับมุมนั้นบ้าง เท่านั้นเองครับ ด้วยความเคารพ<br /><br />ลองสมมุติว่า ถ้าคุณไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการนี้ แล้วลองไปเดินตามท้องถนน หยิบหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารสำหรับคนทั่วไปที่มีตลาดกว้างๆ ขึ้นมาอ่าน คุณอาจจะเข้าใจว่า ในโลกนี้มีสถาปนิกผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ออกแบบอาคารชั้นนำ ได้โครงการดีๆ ที่น่าสนใจไปทำ ชื่อของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Zaha Hadid นั่นเอง แน่นอนว่าเราก็ต้องให้เครดิตกับเธอหน่อย สถาปนิกที่มีเชื้อสายอิรักซึ่งมีสำนักงานอยู่ในลอนดอนแห่งนี้ ได้นำสีสันอันอลังการเข้ามาสู่วงการของเราได้ไม่น้อย แต่คุณก็อาจจะอดไม่ได้ที่จะถามว่า แล้วสถาปนิกหญิงคนอื่นๆ ล่ะ ไม่มีใครที่มีความสามารถระดับนี้อีกแล้วหรือ มีใครบ้างไหม ที่เป็น แบบ Hadid ที่บริหารจัดการสำนักงานออกแบบด้วยตัวเอง เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ในบทความนี้ นิตยสารของเรา (Architectural Record) ได้ตัดสินใจลงลึกไปในประเด็นนี้ โดยสำรวจในกลุ่มของสถาปนิกหญิงในสหรัฐอเมริกา ว่าเรื่องความเป็นเพศหญิงของเธอนั้น ส่งผลใดกับเส้นทางวิชาชีพของพวกเธอกันบ้าง ถ้าถามกลับไปว่า ผู้หญิงมาไกลแค่ไหนในวิชาชีพนี้ ก็อาจจะต้องมองกลับไปในยุคที่ สุภาพสตรีมีการรวมพลังกันอย่างแข็งขัน นั่นคือในยุค 1970s โดยเมื่อปี 1977 ได้มีนิทรรศการที่ชื่อว่า Woman in American Architecture, an Historical and Contemporary Perspective (ขอแปลตรงๆ ว่า มุมมองในประวัติศาตร์และมุมมองร่วมสมัย เกี่ยวกับ สตรีในวงการสถาปัตยกรรมของสหรัฐอเมริกา) จัดขึ้นที่ Brooklyn Museum of Art จัดโดย Susana Torre และให้การสนับสนุนโดย Architectural League of New York งานแสดงครั้งนั้น เป็นที่ตื่นตะลึงไปทั่ว เพราะเป็นการแสดงผลงานอันตระการตาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ของสถาปนิกหญิงที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน บางอาคารมีชื่อเสียงมาก แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนออกแบบเป็นสุภาพสตรีคำถามก็คือ ในปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านมาได้ 30 ปีพอดี ทุกวันนี้ สุภาพสตรี ยังสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการสถาปัตยกรรมได้มากน้อยแค่ไหน<br /><br /><br />ในการทำงานครั้งนี้เราได้สัมภาษณ์สถาปนิกสตรีที่มีประสบการณ์ทำงานยาวนาน ด้วยตนเองหรือกับหุ้นส่วนคนอื่นๆ ที่เป็นสุภาพสตรี เราพยายาจะกรองบริษัทที่มีผู้นำเป็นสุภาพสตรี แต่มีหุ้นส่วนต่างๆ เป็นสุภาพบุรุษ นอกเสียจากว่าจะมีการบริหารด้วยสุภาพสตรีมาตลอดจนเพิ่งจะมาเพิ่มบุรุษในตอนหลัง เราไม่ได้ต้องการที่จะมาพิสูจน์ว่า บริษัทที่ดำเนินการด้วยสถาปนิกสุภาพสตรีจะดีกว่าบริษัทที่ดำเนินการด้วยสุภาพบุรุษหรือผสม เราเพียงแต่ต้องการจะหาขอมูลว่า บรรยากาศและรูปแบบต่างๆของบริษัทรูปแบบนี้ เป็นอย่างไร และเราอยากได้แนวคิดและคำแนะนำที่จะมีให้กับนิสิตนักศึกษาสถาปัตย์และสถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิตที่เป็นสตรี จากสถาปนิกสตรีผุ้ประสบความสำเร็จเหล่านี้<br />ในขณะที่เราพยายามหาไปทั่วประเทศ บริษัทที่เข้าตามคุณสมบัติที่เราคิดเอาไว้ส่วนใหญ่จะอยู่ใน มหานครนิวยอร์ค เหตุผลก็น่าจะมาจากสองสามประการ หนึ่งก็คือ มีโรงเรียนสถาปนิกอยู่มากมาย บัณฑิตที่จบมาก็ชอบที่จะอยู่ในเมืองที่มีสีสันแบบนี้ เมื่อมีแรงงานมาก ก็เกิดการแข่งขันมาก ดังนั้นบริษัทที่อยู่รอดและประสบความสำเร็จในการแข่งขัน ก็ต้องนับว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจเพียงพอที่จะนำมาพูดกันในที่นี้<br />ทุกวันนี้ ในสหรัฐอเมริกา จำนวนสุภาพสตรีที่เป็นสมาชิกของ AIA หรือ American Institute of Architects (คนที่มีใบอนุญาติเท่านั้นจึงจะเป็นสมาชิกได้) ถึงประมาณ 13.3% หรือประมาณ 62400 คน ถ้าหากนับรวม สุภาพสตรีที่มีใบอนุญาติ แต่ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ AIA จำนวนรวมกันของสถาปนิกสตรีที่มีใบประกอบวิชาชีพอาจจะรวมกันได้ถึง 110,000 คน ซึ่งถ้ารวมๆ กันอาจจะดูไม่มากเทียบกับบุรุษ แต่หากดูในแง่ของการเพิ่มจำนวนแล้ว จะเห็นได้ว่ามีความชัดเจนมาก ในปี 1975 ตามสถิติของ AIA สุภาพสตรีที่มีใบประกอบวิชาชีพสถาปนิก มีเพียง 1.2% เท่านั้น แต่พอเข้าปี 1991 กลับมีจำนวนสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.59% และมี 4.3% ที่เป็นเจ้าของบริษัท และในปี 2006 มีสุภาพสตรีถึง 13% เป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วนบริษัท แต่ถึงจะมีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสัดส่วน 40% ของนิสิตนักศึกษาหญิงที่ศึกษาวิชาสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็นระดับปริญญาตรี หรือปริญญาตรีแล้ว ผลที่ออกมาเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่า จำนวนบัณฑิตหญิงที่เข้ามาทำงานจริงในวงการออกแบบสถาปัตยกรรมยังมีน้อย<br /><br /><br />Why do I? – ทำไมพวกเธอถึงตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจ<br />สุภาพสตรีที่เราสัมภาษณ์ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า การที่เธอตัดสินใจทำธุรกิจด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเพราะต้องการอำนาจในการตัดสินใจเพื่อที่จะทำงานออกแบบที่มีคุณภาพได้ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่เหมือนๆ กับคนที่เปิดสำนักงานใหม่ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม Suman Sorg, FAIA (สมาชิกระดับ Fellowship หรือน่าจะพอเปรียบเทียบได้กับ วุฒิสถาปนิก ในประเทศไทย) เป็นสถาปนิกสุภาพสตรีที่มีสำนักงานขนาด 40 คน ชื่อว่า Sorg and Associates ในเมือง Washington, D.C. เธอพูดว่า “ดิฉันยอมรับว่า ตัวเองเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน ต้องการที่จะพัฒนางานอยู่เสมอ และแน่นอนว่าต้องการอิสระในการออกแบบ”เช่นเดียวกับ Anne Fougeron, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนาด 9 คน อยู่ในเมือง San Francisco “ฉันต้องการพิสูจน์ให้สังคมรู้ว่า การที่สตรีจะดำเนินธุรกิจออกแบบด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้” ในบางกรณี ความเห็นก็แตกต่างออกไป เช่น ความเห็นของ Page Ayres Cowley, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงาน ขนาด 11 คน เธอเคยมีหุ้นส่วนเป็นสุภาพบุรุษมาก่อนที่จะมาเป็นเจ้าของคนเดียว “การเข้าหุ้นกันจะไม่มีทางไปกันได้รอด ถ้าแต่ละฝ่ายมีมุมมองที่ต่างกันในเรื่องของ รายได้เป้าหมาย และเรื่องของนโยบายต่างๆ ในการทำธุรกิจ” แต่ก็มีสุภาพสตรีบางคนที่ เจอหุ้นส่วนที่ดี เช่นในกรณีของ Ann Beha, FAIA ที่เป็นเจ้าของบริษัทขนาด 30 คนใน Boston และได้พบกับ Pamela Hawkes, FAIA โดยทั้งสองชอบที่จะทำงานประเภท Renovation เหมือนๆกัน<br />สุภาพสตรีหลายๆคนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนสอนสถาปัตยกรรมในช่วงปี 1970s ก็ได้พยายามในการทำธุรกิจของตัวเองมาตลอด บางคนทำเพราะเชื่อมันว่าทำได้ ไม่มีการไปค้นคว้าตลาดแต่อย่างใด บางคนก็พยายามอยู่ให้รอดโดยการทำงานเล็กๆ ที่คนอื่นไม่มีใครทำ บางคนก็แอบทำ ในขณะที่ตัวเองมีงานประจำอยู่ บางคนก็มีคำตอบที่ดีให้กับชีวิตโดยเฉพาะเวลาที่มีลูกว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจทำให้เธอจัดเวลาของเธอได้ ทำให้เธอได้เป็นแม่เต็มเวลา และยังทำงานได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังไม่ต้องไปทำงานแข่งกับผู้ชายในสำนักงานใหญ่ๆ ซึ่งก็จะทำให้เธอต้องห่างกับครอบครัว<br />Katherine McGraw Berry, AIA แห่ง นคร New York เปิดบริษัทออกแบบของเธอเมื่อปี 1985 ในช่วงที่เธอมีลูกชายฝาแฝดสองคน โดยที่เธอลาออกมาจาก Kohn Pedersen and Fox เธอบอกว่า เธอมีความสุขที่ได้ทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก มีเวลาใส่ใจกับรายละเอียดและรายได้ที่พอสมควร ไม่มาก แต่ทำให้เธอแบ่งเวลาให้กับทุกๆ มิติในชีวิต Heather McKinney, AIA แห่งเมือง Austin รัฐ Texas กล่าวว่า “เวลาที่ลูกเราโตขึ้นมา เธอใช้เวลากับการดูแลครอบครัวไปมาก หลายๆ คนที่ออกไปทำงานส่วนตัว จะไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะไปทำงานระดับใหญ่ หรือระดับซับซ้อน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะก้าวหน้าในวิชาชีพ” แต่สิ่งที่เราคนพบ กับบริษัทที่ประสบความสำเร็จซึ่งดำเนินการโดยสุภาพสตรีในบทความนี้ สถาปนิกสตรีเกือบทุกคนที่เราได้พูดคุยก็มีครอบครัวและมีลูก เช่นนกรณีของ Beha เธอมีลูกสองคน ซึ่งเธอให้ความเห็นว่า “ก็เป็นงานที่ยากลำบากอีกชิ้นหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง”<br /><br /><br />สุภาพสตรีหลายๆคนที่จบการศึกษามาจากโรงเรียนสอนสถาปัตยกรรมในช่วงปี 1970s ก็ได้พยายามในการทำธุรกิจของตัวเองมาตลอด บางคนทำเพราะเชื่อมันว่าทำได้ ไม่มีการไปค้นคว้าตลาดแต่อย่างใด บางคนก็พยายามอยู่ให้รอดโดยการทำงานเล็กๆ ที่คนอื่นไม่มีใครทำ บางคนก็แอบทำ ในขณะที่ตัวเองมีงานประจำอยู่ บางคนก็มีคำตอบที่ดีให้กับชีวิตโดยเฉพาะเวลาที่มีลูกว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจทำให้เธอจัดเวลาของเธอได้ ทำให้เธอได้เป็นแม่เต็มเวลา และยังทำงานได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังไม่ต้องไปทำงานแข่งกับผู้ชายในสำนักงานใหญ่ๆ ซึ่งก็จะทำให้เธอต้องห่างกับครอบครัว<br />Katherine McGraw Berry, AIA แห่ง นคร New York เปิดบริษัทออกแบบของเธอเมื่อปี 1985 ในช่วงที่เธอมีลูกชายฝาแฝดสองคน โดยที่เธอลาออกมาจาก Kohn Pedersen and Fox เธอบอกว่า เธอมีความสุขที่ได้ทำงานขนาดไม่ใหญ่มาก มีเวลาใส่ใจกับรายละเอียดและรายได้ที่พอสมควร ไม่มาก แต่ทำให้เธอแบ่งเวลาให้กับทุกๆ มิติในชีวิต Heather McKinney, AIA แห่งเมือง Austin รัฐ Texas กล่าวว่า “เวลาที่ลูกเราโตขึ้นมา เธอใช้เวลากับการดูแลครอบครัวไปมาก หลายๆ คนที่ออกไปทำงานส่วนตัว จะไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะไปทำงานระดับใหญ่ หรือระดับซับซ้อน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะก้าวหน้าในวิชาชีพ” แต่สิ่งที่เราคนพบ กับบริษัทที่ประสบความสำเร็จซึ่งดำเนินการโดยสุภาพสตรีในบทความนี้ สถาปนิกสตรีเกือบทุกคนที่เราได้พูดคุยก็มีครอบครัวและมีลูก เช่นนกรณีของ Beha เธอมีลูกสองคน ซึ่งเธอให้ความเห็นว่า “ก็เป็นงานที่ยากลำบากอีกชิ้นหนึ่งที่เข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง”<br />สุภาพสตรีส่วนใหญ่ที่เราได้สัมภาษณ์มาจาก รุ่นที่จบการศึกษาในยุคปลาย 1970s และต้น 1980s ส่วนใหญ่ทำธุรกิจด้วยตัวเองมาประมาณ 10-20 ปีแล้ว ขนาดของบริษัทก็มีตั้งแต่ทำงานคนเดียวไปจนถึง 40 คน โดยในประวัติของบริษัทก็จะมีพนักงานอยู่ประมาณ 20-30 คน บริษัทส่วนใหญ่มีสถาปนิกและนักออกแบบ (ไม่มีใบอนุญาติ แต่ได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบ) สถาปนิกคนหนึ่งที่เราได้สัมภาษณ์คือ Sophia Guruzdys, AIA ซึ่งเคยทำงานให้กับ Pei Cobb Freed มาก่อน (พัฒนามาจากสำนักงานส่วนตัวของ I.M.Pei) ซึ่งเธอได้บอกว่า Harry Cobb หนึ่งในหุ้นส่วนได้เป็นคนสนับสนุนให้เธอออกมาทำเอง โดยส่วนตัวเธอบอกว่า เธอไม่ชอบทำงานให้กับเจ้านาย โดยที่เธอไม่มีส่วนร่วมในการควบคุมอะไรในโครงการนั้นเลย แน่นอนว่า การที่เธอออกมาก็มีข้อเสียคือ ในช่วงแรกที่เปิดสำนักงานในปี 1988 นั้น เธอต้องรับโครงการที่เธอไม่ได้อยากทำเลย แต่ต้องรับเพื่อให้มีรายได้<br />Gisue and Mojgan Hariri (น่าจะเป็นคนเชื้อสายอิหร่าน – ผู้แปล) สองสาวพี่น้องที่ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1986 ได้แนวคิดที่จะทำงานด้วยกันหลังจากที่ได้ไปเยี่ยมชมโครงการของบรีษัท Greene and Greene ในเมือง Pasadena, California “ถ้าหากว่าพี่น้องผู้ชายสองคนเขายังทำได้ พวกเราเลยคิดว่าพวกเราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน”<br />อีกรายคือ Robin Elmslie Osler เธอเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของสถาปัตยกรรม พ่อของเธอเป็นเจ้าของบริษัทสถาปัตย์และลุงของเธอเป็นหุ้นส่วนของ Purcell & Elmslie ที่มีชื่อเสียง แห่งเมือง Minneapolis แม้ว่าเธอจะมีอาชีพเป็น นางแบบแฟชั่นมาก่อน แต่ประสบการณ์ที่เธอเคยอยู่ใกล้ชิดกับพ่อโดยเฉพาะได้เห็น site ก่อสร้างทำให้เธอตัดสินใจเข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ Yale และจบการศึกษาในปี 1990 เธอเปิดบริษัทของเธอเองชื่อว่า EOA/Elmsilie Osler Architects ในปี 1996 ปัจจุบันมีพนักงาน 8 คน ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่เธอได้นั้น มาจากคนที่เธอรู้จักในวงการแฟชั่น แต่พอเวลาที่เธอได้ทำงานไปเรื่อยก็มีฐานลูกค้ามากขึ้น ล่าสุดลูกค้าที่เธอได้นั้น มาจากการส่งต่อโดย Richard Gluckman, FAIA แห่งสำนักงาน Gluckman Mayner ณ มหานคร นิวยอร์ค<br /><br /><br />Getting Clients<br />สำหรับสถาปนิกผู้หญิงการออกเดินสายหาลูกค้าเพื่อทำโครงการไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ส่วนใหญ่จะได้รู้จักกับลูกค้าตอนที่ทำงานในสำนักงานใหญ่ๆ ก่อนที่จะออกไปทำเองแล้วลูกค้าตามไปจ้าง หลายๆ คนต้องใช้วิธีที่ค่อนข้าง aggressive หรือ ถึงลูกถึงคน เช่นในกรณีของ Wendy Evens Josephs, FAIA ซึ่งมีโอกาสได้ตั้งสำนักงานขนาดหกคนของตัวเองในปี 1996 เพราะได้โครงการ สะพานคนข้ามของมหาวิทยาลัย Rockefeller ใน นคร นิวยอร์ค โดยที่มาของการได้โครงการนี้ก็มีอยู่ว่า ในคืนวันหนึ่งที่เธอกำลังรับประทานอาหารในงานสังคมงานหนึ่ง อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อยู่ในที่งานนี้ด้วยและอธิบายถึงปัญหาการขาดแคลนงบประมาณในการสร้างสะพานให้เธอฟัง เธอได้นำเสนอแผนการคร่าวๆ ให้อธิการบดีฟังทันที ด้วยความมีประสบการณ์อันมากมายมาจาก การออกแบบ Holocaust Museum ใน นครวอชิงตัน ดีซี สมัยที่ทำงานให้กับ Pei Cobb Freed โดยเธอมีทีมวิศวกรที่ใกล้ชิดและเด็กดร้าฟที่ทำงานที่โต็ะกินข้าวที่บ้านของเธอ แล้วต่อมาเธอก็ได้งานนี้ไป (ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน คงจะง่ายเพราะเป็นการตัดสินใจของ Board แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ โอกาสที่จะได้งานแบบ Unsolicited proposal แบบนี้ น้อยมาก เพราะถ้า Board ส่ง proposal เข้าที่ประชุมแล้วสรุปโดยไม่มีการเปิดประมูลสาธารณะ ก็อาจจะโดนประชาชนผู้เสียภาษี ซึ่งมีสถาณภาพเหมือนผู้สนับสนุนกิจการของมหาวิทยาลัย ฟ้องร้องได้ – ผู้แปล)<br /><br />Andrea Leers, FAIA และ Jane Weinzapfel, FAIA เปิดสำนักงานส่วนตัวในเมือง Boston ในปี 1982 ซึ่งเน้นความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบสาธาณูปโภคหรืองานเทคนิคระดับซับซ้อน เช่น หอควบคุมระบบการขนส่งทางน้ำของ Massachusetts Bay Transportation Authority เป็นต้น Leers กล่าวว่า “เราได้งานในตลาดที่ค่อนข้างไม่หวือหวา และมีงบประมาณที่จำกัดมาก เป็นโครงการที่บริษัททั่วๆไปไม่ค่อยสนใจ ซึ่งก็เป็นข้อดีสำหรับเรา เพราะเราจะไม่ค่อยถูกกระทบมากจากวงจรเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลง” อีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ เรื่องเกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนั้นแทบจะไม่มีความหมาย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น โครงการของรัฐนั้นมีระบบพิเศษที่จะช่วยเหลือกลุ่มที่ถือว่า “ด้อยโอกาสในสังคม” หรือที่เรียกว่า Minority ซึ่งธุรกิจที่มี สุภาพสตรีเป็นเจ้าของก็เป็นหนึ่งในนั้น ตัวอย่างเช่น นคร New York City ต้องการหาบริษัทที่มีผู้หญิงล้วนมาทำโครงการของรัฐ (เป็นการสร้างภาพทางการเมือง ในสหรัฐ การสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูมีมุมมองที่กว้างขวาง ช่วยเหลือกลุ่มที่ด้อยโอกาสในสังคม เช่น คนดำ หรือสุภาพสตรีนั้น เป็น การรับประกันว่านักการเมืองจะได้ คะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้ไปในตัว) ตัวอย่างของ สถาปนิกกลุ่มนี้ได้แก่ Karen Bausman AIA และ Beyhan Karahan AIA ซึ่งแต่ละคนมี พนักงาน 11 และ 15 คนตามลำดับ ได้มีชื่อบริษัทของตัวเองอยู่ในบัญชีสถาปนิกของ นคร New York’s design excellence program ที่เป็นโครงการจากผู้ว่า Michael Bloomberg (<a title="http://www.archpaper.com/news/2007_0404.htm" href="http://www.archpaper.com/news/2007_0404.htm">http://www.archpaper.com/news/2007_0404.htm</a>) ในแผนก ออกแบบและก่อสร้าง<br /><br /><br />อีกประการหนึ่งทีสถาปนิกหญิงพบในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาคือ การเพิ่มจำนวนของลูกค้าที่เป็นสุภาพสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกค้ากลุ่มที่มาจากสถาบันการศึกษา สถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ และภาครัฐ Andrea Leers ได้กล่าวว่า “การที่เราเป็นผู้หญิงนั้นเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่ใจกล้า ที่จะลองรับการบริการวิชาชีพจากเรา” แต่ Gisue Hariri ก็ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับ คณะกรรมการคัดเลือกสถาปนิกในองค์กรสำคัญๆ ว่า “ถ้าในกรรมการนั้น ไม่มีผู้หญิงอยู่เลย ก็จะไม่มีสถาปนิกหญิงได้รับเลือกเช่นกัน ส่วน Diane Lewis, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทขนาด 11 คนในนิวยอร์คก็ได้กล่าวว่า “บริษัทของดิฉันจะดึดดูดลูกค้าที่ค่อนข้างจะมีความรู้ และมีรสนิยมทางศิลปะมากหน่อย” งานของเธอนั้นเป็นประเภท Art Gallery, Charter School และห้องพัก (Loft) ของ Mark Wigley คณะบดีของ Graduate School of Planning and Preservation แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย<br />แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การได้งานจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่น้นเป็นได้ยากมากสำหรับสถาปนิกสตรี Deborah Berke, AIA ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงานขนาด 25 คน ได้กล่าวว่า “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่โทรหาเรานั้น มักจะเป็นคนที่มีจิตใจเิปิดกว้างอยู่แล้ว” Julie Snow, FAIA ซึ่งเป็นเจ้าของสำนักงานขนาด 15 คนในเมือง Minnesota ในความเห็นว่า ลูกค้าบางคนนั้นไม่ค่อยจะรู้สึกสบายใจที่จะทงานกับผู้หญิง “แต่ที่เราได้งานส่วนใหญ่จากลูกค้าที่เป็นผู้ชายนั้น จะเป็นเพราะพวกเขาต้องการมุมมองของผู้หญิงที่อยากให้เขาไปอยุ่ในงานออกแบบ” Audrey Matlock, AIA ที่ีมีสำนักงานขนาด 12 คน ได้กล่าวว่า ถ้าเราไม่ได้งานนั้นมาทำกับมือ เราก็จะไม่รู้ว่าเรื่องความเป็นผู้หญิงของเรานั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เขาเลือกเราให้ทำงานกับเขาหรือไม่ ณ ปัจจุบัน เธอกำลังออกแบบโครงการ ศูนย์กีฬา และคฤหาสน์ ขนาดใหญ่ในประเทศคาซัคสถาน ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับผ่านมาทาง Skidmore Owings & Merril (SOM) นายจ้างเก่าของเธอ<br />Ronnette Riley, FAIA เปิดสำนักงานในนิวยอร์คตั้งแต่ปี 1987 มีจำนวนพนักงานไม่เกิน 14 คน พบว่าการทำงานกับบริัษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเรื่องที่ยากเพราะ เป็นคนที่ค่อนข้างจะอนุัรักษ์นิยม และชินกันการเสี่ยง พวกเขามักจะชอบทำงานกับคนที่คุยภาษาเีดียวกับเขา แต่เธอก็เล่าให้ฟังว่า เธอได้งานจากลูกค้าคนหนึ่งเพราะรถที่เธอซื้อมาขับ (BMW 645 CI) เขาหยุดแล้วถามเธอเกี่ยวกับรถที่เธอขับว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วการสนทนาก็เิ่ริ่มมาจากตรงนั้น Alison Spear, AIA มีสำนักงานขนาด 6 คนในเมือง Miami รัฐ Florida ชอบทำงานกับ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาก เธอชอบความกดดันในการทำงาน เธอกล่าวว่าทำให้เธอรู้สึกสนุกกับมัน เธอเพิ่งจะออกแบบโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 12 ชั้นเสร็จ โดยเป็นโครงการของบริษัท Aqua บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เธอทำงานออกแบบภายใน ร่วมกับการออกแบบสถาปัตยกรรมด้วย เธอกล่าวว่า นี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าเธอชอบเพราะไม่ต้องไปหานักออกแบบหลายๆ คน มาหาเธอคนเดียวแล้วจบ<br /><br /><br />The Press<br />การได้รับตีพิมพ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณจะให้สื่อต่างๆ มาสนใจคุณได้อย่างไรเวลาที่คุณเพิ่งเิริ่มเปิดกิจการ ก็มีหลักๆ สองอย่างที่จะดึงความสนใจสื่อได้คือ ประเภทของโครงการกับลูกค้าที่มีชื่อเสียง Spear ได้รับการตีพิมพ์เยอะมากในโครงการ loft ที่เธอทำเมื่อ 20 ปีก่อน ให้กับ Jay McInerney (นักเขียนชื่อดัง) ซึ่งเป็นลูกค้าที่เธอได้พบจากเครือข่ายศิลปินของ National Arts Club เธอจบการศึกษาจาก Cornell และตัดสินใจเข้าทำงานกับ Juan Pablo Molyneux ซึ่งเป็นมัณฑนากร เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับ antiques การให้สี และ fabric ต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับเธอ เทียบกับการเรียนสถาปัตยกรรมที่มีแต่ขาวกับดำ เธอเชื่ออยู่เสมอว่าตัวเองเป็นสถาปนิก แต่ทำงานออกแบบมัณฑนากร แต่สื่อมักจะคิดว่าเธอเป็น มัณฑนากรหรือ เรียกเธอว่า Decorator ในกรณีของ Jennifer Luce, AIA ผู้ทำธุรกิจออกแบบ ทั้งงาน Landscape และ งานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ด้วยสาเหตุที่บริษัทของเธอมีสุภาพสตรีทำงานอยู่ถึง 75% ทำให้สื่อคิดว่าบริษัทของเธอเป็นบริษัทมัณฑนากร ล่าสุดงานของเธอ Nissan Design America Building ใน ดีทรอยต์ และ Nissan Design Studio ที่ La Jolla ในแคลิฟอร์เนีย น่าจะทำให้ภาพพจน์ตรงนี้ลดลง แต่เธอก็บอกว่ายาก เพราะเธอเป็นคนที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดในงานของเธอ (ตีความว่าเป็นนิสัยของ Interior Designer )<br /><br />สถาปนิกแห่ง มหานครนิวยอร์คอีกคนชื่อ Annabelle Selldorf, AIA ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีปัญหาในการได้รับความสนใจจากสื่อสักเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเพราะลูกค้าที่เป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการศิลปะของเธอ งานออกแบบของเธอส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยของคนกลุ่มนี้ หรือไม่ก็ออกแบบ Art Gallery เช่น Museum of German and Austrian Art ในแมนฮัตตัน “ดิฉันเริ่มต้นจากการทำงานปรับปรุงห้องครัวเล็กๆ ในปี 1989” ปัจจุบันบริษัทของเธอมีพนักงาน 33 คน และได้รับงาน ที่สำคัญอย่าง Urban Glass House ออกแบบโดย ฟิลลิป จอห์นสัน เธอเลยได้ใช้โครงการนี้ไปในการทำการตลาดให้กับบริษัทของเธอ และดึงดูด สื่อไปโดยปริยาย ส่วน Lindy Roy เจ้าของสำนักงานชื่อ ROY ก่อตั้งในปี 2000 มีพนักงานเฉลี่ยประมาณ 10 คนได้กล่าวว่า ในปี 2001 สำนักงานของเธอได้รับเลือกให้ออกแบบ Courtyard ใน PS1 Contemporary Art Center ในเขต Long Island City ของนิวยอร์ค โดยเป็นส่วนหนึ่งของ MoMA/P.S.1 Young Architects Program “สื่อที่มาทำข่าวครั้งนั้น เป็นผลดีกับดิฉันมาก มีลูกค้าใหม่ๆ หลายคนโทรติดต่อเข้ามา” Roy เป็น สถาปนิกจาก อัฟริกาใต้ จบการศึกษาจาก Columbia University ผู้ออกแบบ Andre’ Balasz’s Hotel QT ซึ่งเป็น อาคารสำนักงานเก่าในย่าน Time Square ในปี 2005<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-39061321032093238222007-03-01T12:14:00.000-08:002007-03-01T12:18:11.166-08:00บทความแปล: Designer Compensation: How Important is Money, Really? เงินเดือนคือ ประเด็นหลักจริงหรือ?หลายๆ คนที่เป็นผู้บริหารองค์กร คิดว่าการให้เงินเดืนอที่ดี เป็นสิ่งที่จะดึงดูดพนักงานเป็นอันดับหนึ่งให้อยู่ในองค์กรของท่าน บทความของ Robert Smith ชิ้นนี้อาจจะเพิ่มมุมมอง และประเด็นที่น่าสนใจบางอย่างให้กับการบริหารการจ่ายเงินเดือน และประเด็นข้างเคียงเกี่ยวกับการที่จะทำให้คนอยากทำงานกับองค์กรของท่าน<br /><br />ในยุคที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างมีแบบแผนมากขึ้น และอาชีพการงานต่างๆ ก็ขยายตัวปลีกย่อยออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่คือการค้นหาความหมายของสิ่งที่ดึงดูดพนักงานที่มีคุณภาพสิ่งที่บริษัทออกแบบต้องต่อสู้เสมอคือการหาบุคลากรที่มีคุณภาพและรักษาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ Compensation (ผลตอบแทน) จึงเป็นสิ่งที่ต้องหยิบยกขึ้นมาคุยอยู่เสมอคนทั่วไปจะคิดว่า Compensation นั้นเป็นเรื่องของ เงินเดือน และผลตอบแทนอื่นๆ ที่ตามมาเป็นเรื่องรองๅลงไป ด้วยเหตุผลนั้น ทำให้คนที่เป็นเจ้าของกิจการต้องพยายามที่จะตั้งอัตราเงินเดือนไว้ในระดับที่เหมาะสม ที่จะแข่งกับบริษัทอื่นๆ ได้ แต่ถึงเงินเดือน และผลตอบแทนอื่นๆ เช่น ประกันสุขภาพ จะสำคัญอย่างไร ทั้งส่องอย่างก็ไม่ควรเป็นเพียงสองสิ่งที่เจ้าของบริษัทให้ความสนใจเท่านั้น ในการตัดสินใจที่จะเข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง คนๆนั้นจะค่อยๆ นั่งคิดถึงความสลับซับซ้อนของความต้องการส่วนตัว สิ่งที่เป็นระดับชั้นของความต้องการ (Hierarchy of needs) เป็นสิ่งที่มีระดับความละเอียดอ่อนแตกต่างกัน ตั้งแต่ความหิวต้องการเงินไปซื้ออาหาร ความตื่นเต้น ละความชอบสิ่งละอันพันละน้อยเล็กๆ ที่ได้พบเห็นในบริษัทนั้นๆ ซึ่งความต้องการต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่อง เงินเดือน หรือ ผลตอบแทนอื่นๆ (Salary and Benefits) สักเท่าใด<br /><br />ตามทฤษฎีของ มาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy) นั้น เืมื่อมนุษย์ได้ประสบความสำเร็จในปัจจัยแต่ละขั้น “ความพึงพอใจ” อาจจะไม่ได้เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยเสมอไป แต่อาจจะกลายเป็นความทะยานอยากที่จะก้าวไปสู่ขั้นต่อไป แทนที่ตัวอย่างเช่น เืมื่อสถาปนิกคนหนึ่ง ได้รับความสุขสบายทางร่างกาย (ปัจจัย 4) แล้วก็มีความปลอดภัย (มีเงิืนในธนาคาร มีบ้าน มีประกันชีวิต - จริงๆ แล้ว มาสโลว์ รวมความต้องการพื้นฐานไปถึงเรื่องการมี sex แบบสม่ำเสมอด้วย แต่เราไว้ว่ากันเื่รื่องนี้นอก web ดีกว่าครับ เดี๋ยวจะโดน censor) ระดับต่อไปที่ต้องการก็จะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ต้องการอยู่กับบริษัทที่มีชื่อเสียง แล้วพอได้อยู่แล้ว ก็อาจจะอยากได้ตำแหน่งหน้าที่ๆ ดี เป็นระดับ project manager พอได้แล้ว ก็อยากจะขึ้นเป็นผู้บริหาร เป็นต้น (ฟังดูเหมือนพระพุทธเจ้าตรัสเกี่ยวกับตัณหาขั้นละเอียด)<br /><br />ท่ามกลางระดับความต้องการในชีวิตมนุษย์ที่มาสโลว์ มีเพียงไม่กี่ข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเงินตอบแทนจากการทำงาน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เงินเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทุกคนทราบ เพราะเงินนำไปใช้ืซื้อความสะดวกสะบายได้ ทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิตได้ (เงินประกัน หรือเงินฝากสะสมสำหรับเวลาเกษียณ) หรือแม้กระทั่งเอาไปใช้ซื้อความโก้เก๋ เช่นการซื้อรถ BMW หรือบ้านสวยๆ ริมทะเล (มากกว่าการที่จะมีรถธรรมดาเพื่อไว้ใช้ หรือบ้านถูกๆ ไว้อยู่)นั่นคือระดับหยาบถ้าพูดถึงความพึงพอใจในระดับละเีอียดแล้ว มาสโลว์ แสดงให้เห็นน้อยมากถึงความเชื่อมโยงโดยตรงกับเงินทองค่าตอบแทนในการทำงาน แต่ความพึงพอใจกลับเข้าไปอยู่ในเรื่องของกิจกรรมในการทำงานและบรรยากาศของที่ทำงานเสียมากกว่า<br /><br />Self-Actualization (การยอมรับนับถือในตัวเอง) อาชีพนักออกแบบที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีเรื่องตลกที่เกี่ยวข้องด้วยมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “นี่ คุณสถาปนิก ถ้าคุณได้รับรางวัลล๊อตเตอรี่ หนึ่งล้านเหรียญคุณจะทำอะไรกับชีวิตคุณต่อไป”“อ้อ ผมก็ คงจะทำงานเป็นสถาปนิกไปเรื่อยๆ จนกว่าเงินจะหมดล่ะครับ”ถ้าเรื่องตลกนี่ไม่ค่อยตรงกับความจริง เราก็คงจะได้หัวเราะกับหงายหลัง แต่บังเอิญว่ามันกลายเป็นสิ่งที่เราขำไม่ออกเพราะัมันเป็นเรื่องจริง มีหลายครั้งที่นักออกแบบมืออาชีพอย่างพวกเรา คิดถึงเรื่องสถาณที่ๆอยากทำงานด้วย หรือแนวทางการออกแบบของสถาณที่ๆเราทำงานด้วยมาก่อนเรื่องเงินทอง ลองดูว่า ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เราคุ้นเคยกันหรือไม่ (อาจจะไ่ม่เกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย แต่ในสหรัฐอเมริกานี่คือเรื่องปกติ)1. นักออกแบบที่ดีๆ เก่งๆ วิ่งข้ามไปข้ามมาระหว่างoffice หลายๆ รอบเพื่อเิพิ่มเงินเดือนให้ตัวเอง แต่ในที่สุดก็จบลงที่ยอมรับเงินเดือนน้อยลงแต่ได้ทำงานกับ office ที่ให้อิสระกับเขาในการออกแบบและการทำงานมากหน่อย2. นักออกแบบที่เก่งๆยอมที่จะอดอยาก ได้เงินเดือนน้อยมาก เพื่อให้ได้มีส่วนร่วมกับการออกแบบโดยตรง (มากกว่างานทำแบบก่อสร้าง บริหารก่ารก่อสร้าง งานเก็บกวาดข้อผิดพลาด งานการตลาด และอื่น) 3. สถาปนิกที่เก่งๆ ยอมที่จะทำงานเกินงบประมาณเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีออกมาสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละข้อนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนความรับผิดชอบอันสูงสุดของพวกเรา ที่ต้องการที่จะไปสู่ยอดพีระมิดของมาสโลว์ หรือ การยอมรับนับถือในตัวเอง (Self Actualization – น่าจะแปลว่าความภูมิใจก็ได้ แต่ล้ำลึกกว่านั้นอีกหน่อย)มาสโลว์ได้ยกตัวอย่างไปถึงนักดนตรีว่า“นักดนตรีก็ต้องเล่นดนตรี นักวาดภาพก็ต้องวาดภาพ กวีก็ต้องแต่งกลอน ถ้าหากเขาต้องการเกิดความสงบในจิตใจ เขาก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้ คนที่เกิดมาเพื่อเ็ป็นอะไรสักอย่างก็ต้องเป็นไปตามที่เขาเชื่อมั่นที่จะเป็นไป นั่นล่ะ คือ ความยอมรับนับถือในตนเอง หรือจะเรียกอีกอย่างได้ว่า เป็นความปราถนาที่จะเติมชีวิตให้เต็ม”พวกเราที่เป็นนักออกแบบอาจจะมีปัญหาเรื่องการยอมรับนับถือในตนเองน้อยกว่าวิชาชีพอื่นๆ เพราะการยอมรับนับถือในตัวเองเป็นคุณลักษณะทางจิตใจที่สิ่งที่ สำคัญมาก สำหรับวิชาชีพของเรา แนวความคิดที่ว่า “นักออกแบบต้องออกแบบ” กลายเป็นสิ่งที่มีผลกระทบกว้างขวางมากต่อการตั้งระดับเงินเดือน และการบริหารจัดการสำนักงานออกแบบโดยรวม<br /><br />เรื่องตลกเกี่ยวกับ เงินๆ ทองๆในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผม(Robert Smith) ได้ทำการหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นที่ปรึกษาในการจัดระบบบริหารให้กับบริษัทออกแบบทั้งหลาย และในเกือบทุกครั้งเวลาที่เข้าไปทำการตรวจสอบหาข้อมูลในสำนักงานของลูกค้ารายใหม่ ผมต้องเจอกับคำเรียกร้องของพนักงานในเรื่องค่าตอบแทน แต่หลังจากที่ได้ทำการค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับค่าตอบแทนแล้ว ส่วนใหญ่ผมจะพบว่า บริษัทหลายๆ แห่งก็ให้ค่าตอบแทนที่ Competitive (แปลตรงๆ ว่าพอแข่งขันในตลาดได้ หรือพอๆ กับบริษัทอื่น) สิ่งที่น่าสนใจคือสิ่งที่พนักงานเห็นว่าเป็นปัญหาหลักไม่ใช่เงินเดือน แต่เป็นบรรยากาศของการทำงานในสำนักงานมากกว่า เงินค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถมาชดเชยเรื่องเกี่ยวกับ “บรรยากาศที่ไม่ดีในสำนักงาน” หรือ “สภาวะไร้โอกาสก้าวหน้าในทางการงาน”ได้ การที่พนักงานสักคนจะเข้ามาทำงานในที่ใดที่หนึ่งเพราะเห็นผลเรื่องเงินเดือนเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยมาก ถ้ากลับไปมองที่ Maslow’s Hierarchy จะเห็นว่า ผู้บริหารของสำนักงานต้องเน้นไปในการพัฒนา “ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับจากการทำงานในที่ทำงานของท่าน” เพราะนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้พนักงานคนใดคนหนึ่งเลือกที่จะทำงานกับท่าน<br /><br />ผลตอบแทนที่นอกเหนือจากเงิน เป็นสิ่งที่ทีมบริหารบริษัทต้องนำมาพิจารณาเป็นเรื่องหลัก ผลตอบแทนเหล่านี้มีได้หลายแนวทางมากอาจจะใช้้คำนิยามของผลตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงิน และไม่สามารถวัดเป็นปริมาณได้ดังกล่าวว่า “รายได้ทางใจ” หรือ Psychic Income (ขอร้องตรงนี้ว่าอย่าเอาไปใช้เป็นมุขกวนๆ เวลาที่ลูกน้องมาขอเงินเดือนขึ้นละกันนะครับ ผมแปลเอาตรงตัวเท่านั้นเอง) คือเป็นสิ่งตอบแทนที่ทำให้ลูกน้องของท่านรู้สึกมีขวัญและกำลังใจที่จะทำงานในองค์กรของท่าน ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะไ่ม่เกี่ยวข้องกับเม็ดเงินที่เขาได้ทุกเดือนเลย Robert Smith เสนอให้ผู้บริหารทั้งหลายถามคำถามที่จะเป็นตัวนำการสร้าง “รายได้ทางใจ” ดังกล่าวที่เหมาะสมสำหรับสำนักงานของท่านในการดึงดูดพนักงานระดับคุณภาพ1. วัฒนธรรมของสำนักงานของท่านเป็นอย่างไร (Culture of the Office)2. ลักษณะของโครงการที่ท่านทำเป็นอย่างไร (Project Characteristics) 3. ระบบการทำงานของการผลิดผลงานเป็นอย่างไร (Nature of the Process) 4. บรรยากาศในการทำงานเป็นอย่างไร (Working Conditions)5. ที่ตั้งของสำนักงานของท่าน (Location of the Office)ขยายความได้ดังนี้<br /><br />1. วัฒนธรรมของสำนักงานของท่านเป็นอย่างไร (Culture of the Office)- บริษัทของท่านมีนโยบายอย่างไรในเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นการคบเป็นส่วนตัว(Personal) หรือเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงาน(Professional)มากกว่ากัน - มีการสนับสนุนเส้นทางวิชาชีพของเขาหรือไม่ มีการแนะแนวหรือไม่- มีการแนะแนวการสร้างความสมดุลย์ระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวหรือไม่ อย่างไร - คำว่า “งาน” สำหรับบริษัทของท่าน มีความหมายอย่างไร 2. ลักษณะของโครงการที่ท่านทำเป็นอย่างไร (Project Characteristics) - โครงการต่างที่บริษัทของท่านมีอยู่ในมือนั้น หลากหลายพอที่จะทำให้คนไม่เบื่อหรือไม่- คุณภาพของงานที่ท่านได้ทำออกไปให้สาธารณะได้เห็นนั้น ดีพอที่สมาชิกในบริษัทของท่านจะรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือไม่- บริษัทพยายามเข้าไปหางานที่เป็นงานในระดับชั้นที่ทำให้คนในบริษัทเกิดความกระตือรือร้นหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องเป็นงานใหญ่ แต่เป็นงานดัง)<br /><br />3. ระบบการทำงานของการผลิดผลงานเป็นอย่างไร (Nature of the process) - บริษัทของท่านเป็นแบบแบ่งเป็นแผนก (Departments) หรือว่า เป็นแบบทำงานเป็นกลุ่ม (Team) - การผลิตงานให้กับลูกค้านั้นเป็นแบบสบายๆ หรือแบบที่ต้องใช้ความเคร่งเครียดสูง?- งานที่สำเร็จส่วนใหญ่มากจากความสามารถของคนๆ เดียว หรือมาจากความร่วมมือของทุกๆคนในทีม 4. บรรยากาศในการทำงานเป็นอย่างไร (Working Conditions)- ภาพพจน์ หรือการจัดสำนักงานของท่านทำให้คนทำงานเกิดความภาคภูมิใจหรือเกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นหรือไม่- เฟอร์นิเจอร์และัวัสดุตกแต่งทั้งหลายนั้น ดูดีมีคุณภาพ และทนทานหรือไม่- อุปกรณ์และระบบเทคนิคต่างๆ ที่บริษัทจัดหาให้เพียงพอกับความต้องการในการทำงานของพนักงานหรือไ่ม่- การสนับสนุนและแก้ปัญหาในการทำงานเช่น ฝ่าย IT ข้อมูลสนับสนุนเพื่อการออกแบบ (Library) การฝึกหัดต่างๆ (Training) และโอกาสในการเจริญเติบโตในวิชาชีพ พอเพียงหรือไม่ - การทำงานนั้นถ้ามีการทำเงินเกินเวลา จะมีนโยบายในการให้ผลตอบแทนพิเศษ (ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน) กับพนักงานอย่างไร ให้โอกาสในการเลือกวันหยุดหรือไม่5. ที่ตั้งของสำนักงานของท่าน (Location of the Office)- ตั้งอยู่ในที่ๆ การเดินทางไปมาสะดวกหรือไม่- การเข้าถึงด้วยระบบขนส่งสาธารณะเป็นอย่างไร- มีที่จอดรถเพียงพอหรือไม่- มีร้านค้า ร้านอาหาร และ สถาณที่ๆ น่าสนใจต่างๆ ดูมีวัฒนธรรมหรือไม่<br /><br />คำตอบของทุกๆคำถามในแต่ละบริษัทก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็จะเหมือนกับคำตอบที่แตกต่างกันของพนักงานแต่ละคนที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งต่างๆในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นความเหมาะสมของแต่ละที่จึงไม่มีอะไรที่เป็น Absolute หรือ คำตอบที่เหมือนกันทั้งหมดแต่มัน key word หรือ คำที่สามารถยึดไว้เป็นหัวใจหลักของกระบวนการได้ก็คือคำว่า “ความเกี่ยวข้อง” หรือ “Associations”ผลตอบแทนอันมีคุณค่าึซึ่งไม่ใช่ตัวเงินที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ มีปัจจัยหลักมาจากเรื่องของ "ความเกี่ยวข้อง" กับสิ่งต่างๆ พนักงานทุกคนอยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับ โครงการที่ดีๆ (Projects) ลูกค้าที่ดี (Clients) ผู้ออกแบบที่ดี (Designers) ผู้สอนที่ดี (Mentors) และเพื่อนร่วมงานที่่ดี (Colleagues) การที่พนักงานได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีคุณภาพในระดับสูงดังกล่าว ทำให้คุณภาพของเขาได้รับการผลักขึ้นไปให้สูง ทำให้เขามองไปสู่ที่สูง เกิดความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองให้เท่าเทียม เกิดเป็นความภูมิใจ เกิดเป็นสถาณภาพที่คนอื่นยอมรับ(Prestige) และความรู้สึกในทางบวกต่างๆ ที่จะตามมา ซึ่ง ต้องย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับจำนวนเงินเดือนที่เขาได้รับเลย<br /><br />ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพออกแบบทุกๆคนที่ต้องการจะก้าวหน้า ก็จะมองหา ความเกี่ยวข้องต่างๆดังกล่าว ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางวิชาชีพ ความสัมพันธ์ทางบุคคล เพื่อที่จะได้เรียนรู้ และเติบโตไปบนความสัมพันธ์อันนั้น ผลตอบแทนที่ไม่ได้เป็นเงิน ที่บริษัทสามารถจัดหาให้พนักงานได้นั้น จะเป็นสิ่งที่ช่วยในเรื่องการเพิ่มทักษะ การเพิ่มความรู้ การให้โอกาส การสร้างชื่อเสียงให้กับตัวพนักงานเอง การให้โอกาสเดินทาง และการเข้าสังคมระดับที่ดีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ สะท้อนกลับไปยัง พีระมิดของมาสโลว์ ในเรื่องการยอมรับนับถือในตนเอง (Self-Actualization) บริษัทใด ที่ไม่ใส่ใจความต้องการของพนักงานตรงนี้ ก็จะเข้าไปอยู่ในสถาวะที่มีการเปลี่ยนพนักงานบ่อย มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (Operating Cost) สูง และพนักงานจะไม่มีความกระตืนรือร้นใดๆ ในการทำงานเพื่อองค์กรประเด็นสำคัญอีกเรื่งคือ คำถามเกี่ยวกับเรื่องของ ผลตอบแทนที่เป็นเงิน หรือไม่ใช่เงินนั้น ไม่ใช่เรื่องของการที่ บริษัทจะมาเลือกตอบเอาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้พนักงานเลือกเอา แต่บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะมีทั้งสองอย่างให้พนักงานเสมอ แต่ในส่วนของพนักงานแล้ว มักจะใช้สามัญสำนึกหรือความรู้สึกเป็นตัวตัดสิน เพราะัมักจะต้องมีการมาเปรียบเทียบกันว่ามี บริษัทยื่นข้อเสนอให้เขาแบบใด เทียบกับที่เก่าที่ทำงานอยู่<br /><br />monetary income + psychic income = total income ผลตอบแทนที่เป็นเงิน + ผลตอบแทนทางใจ = ผลตอบแทนโดยรวมเื่มื่อผลตอบแทนทางใจมีมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทำให้พนักงานเห็นแนวทางชีวิตที่จะดำเนินไปในอนาคตกับองค์กรนั้นนๆ เพราะในชีวิตประจำวันทั่วๆไป ในองค์กรต่างๆ พนักงานทุกๆ คนจะรู้จักที่จะเลือกในการที่จะเดินเข้าไปทำงานที่หนึ่งว่า เขาควรจะเลือกว่าจะไปทางด้านเงิน หรือจะไปทางด้านที่เป็นผลตอบแทนทางใจ แต่ในที่สุดแล้ว คนที่มีคุณภาพจะเลือกในที่ๆ มีทั้งสองอย่างรวมกันได้เป็นผลตอบแทนที่สูงสุด ตามสมการดังกล่าวผู้บริหารอย่าได้พยายามที่จะเอาเรื่องผลตอบแทนโดยรวมมาเอาเปรียบพนักงานเพราะจะไ่ม่ีมีทางสำเร็จ ถ้าท่านไปสัญญาว่าจะมีผลตอบแทนทางใจมากมาย (ส่วนใหญ่พวกนี้ไม่ได้อยู่ในสัญญาว่าจ้างเหมือนกับจำนวนเงินเดือน) แต่พอถึงเวลาท่านให้ได้ไม่ตรงกับที่พนักงานเขาคาดหวังไว้ เขาก็จะไ่ม่อยู่กับท่าน ผู้บริหาร ควรจะต้องพิจารณาถึง “ราคากลาง” ของแรงงานที่ท่านจ้าง ในแง่ของผลตอบแทนทางใจตรงนี้ด้วย และจำเป็นจะต้อง “จ่าย” ผลตอบแทนรูปแบบนี้อย่างเป็นธรรมเหมือนกันผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน สิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของท่านคือ หาจุดสมดุลย์ที่เหมาะสมกับองค์กรของท่านระหว่างผลตอบแทนทั้งสองรูปแบบ เพราะในบทสรุปแล้ว บริษัทที่สามารถให้ผลตอบแทนทั้งสองด้านกับพนักงานอย่างเหมาะสม ด้วยวิธีที่น่าสนใจ จะสามารถดึงดูดพนักงานที่มีคุณภาพ จะสามารถรักษาเขาและเธอทั้งหลายไว้ได้ มันทำให้พวกเขาได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และจะทำให้พวกเขาภักดีต่อองค์กรของท่านเป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งหมด ก็จะเป็นผลดีกับองค์กรของท่านเอง<br /><br />จบ<br /><br />Robert Smith, AIA, เป็นหุ้นส่วนและผู้บริหารของ Culpepper, McAuliffe and Meaders, Inc., แห่งเมืองแอตแลนตา, รัฐจอเจียร์<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-33196698879953058112007-01-14T13:20:00.000-08:002007-01-14T13:22:16.466-08:00ตอบกระทู้: แบ่งวิชาชีพ หรือรวมวิชาชีพเขียนเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2006<br /><br />ขออนุญาตินะครับ คุณสามเศร้า ถ้าท่านเป็นผู้อาวุโสกว่าผมก็ อโหสิกรรมให้ผมนะครับ แต่ผมต้องพูดตรงๆ กับท่านล่ะ สังคมข้อมูลข่าวสารเสรีนะครับ<br /><br />1. ข้อหนึ่งเป็นเรื่องจรรยาบรรณและศีลธรรม เห็นด้วยครับ เรื่องในสมัยเป็นนักเรียนที่มีการ่สอนต่อๆ กันมาจากรุ่นพี่ว่า สถาปนิกเป็นคนที่เด่นและดีกว่าคณะอื่นๆ นั้นเ็ป็นเรื่องจริง แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย จะล้มกระดาน กันหมดเลยก็กระไรอยู่ แต่ผมเห็นด้วยในการลดเรื่อง ออกแบบลงแล้วไปเรียนเรื่องอื่น ไม่ควรยัดอะไรเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่ เพราะทุกวันนี้เด็กเรียนมากพออยู่แล้ว ถ้าจะเพิ่มอะไรเข้าไป ต้องไปหาว่า อะไรควรตัดออก<br /><br />2. ข้อสอง เห็นด้วยอย่างยิ่ง คงต้องมีการจัดการที่ดีและเป็นระบบจากทั้ง สภาสถาปนิก สภาวิศวกรรม และ สมาคมผู้รับหมาครับ<br /><br />3. อันที่สามนี่ไ่ม่เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ อาชีพแต่ละอาชีพแยกย่อยลงไปเยอะมาก งานมัณฑนากร และงานภูมิสถาปัตยกรรม แต่เห็นว่า การมีใบอนุญาติวิชาชีพหนึ่งแล้ว จะมาสอบอีกวิชาชีพหนึ่งน่าจะเป็นไปได้ ให้พวกเราทุกคนได้มีการขยาดฐานความรู้ในทางกว้างบ้าง นอกจากทางลึกอย่างเดียว แต่ทางลึกเป็นสิ่งทีสำคัญมาก ทิ้งไม่ได้<br /><br />อย่างของสหรัฐอเมริกานี่ ทั้งงาน Landscape และ Interior Design เป็นงานระดับซับซ้อน มีการเขียน Spec กันดุเดือดมาก งานภูมิก็เป็นวิทยาศาสตร์มากทั้งเืรื่องระบบน้ำ และระบบการวางต้นไม้ตามฤดุกาล และอีกหลายๆ เรื่อง<br /><br />ถ้าท่านอยากให้วิชาชีพไหนมีการพัฒนาไปในอนาคต ต้องให้พื้นที่ของเขาที่เขาจะโตไปเป็น Expert ไปได้ ขืนไปปิดประตูใส่หน้าเขา ไปบังคับให้เขามาสอบใบอนุญาติสถาปนิกหมด แล้วงานระดับซับซ้อนที่ต้องอาศัย Technical ระดับมหากาฬ เราจะให้ใครทำดีครับ ถ้าคนแห่มาเป็นสถาปนิกกันหมด ? แล้วจริงๆ ถ้าใช้ Logic ที่ท่านว่า ซึ่งผมจะขอเรียนกว่า Logic แบบ Merger คือรวบกันเข้ามาให้หมด เราจะไม่มี Expert อะไรเลยในทาง Landscape และ Interior เพราะคนไม่ให้ความสำคัญ บนพื้นฐานที่ท่านว่า ใครๆ ก็ทำได้ งานที่เขาทำจะถูก Degrade ไปเป็นเรื่อง ง่ายๆ ถูกดูถูกไป<br /><br />ลองสมมุติว่า ผมเป็นผู้รับเหมา ผมจะไปป่าวประกาศได้บ้างหรือไม่ครับว่า “จะไปจ้างสถาปนิกทำไม มาหาผมดีกว่า ผมมีแบบ ปรับนิดหน่อย ไม่ต้องออกแบบก็ได้ ยุบสภาสถาปนิกไปเลย ไม่ต้องมี เพราะถึงออกไปยังไง ผมก็ต้องเป็นคนสร้าง ท่านอยากได้อาคารแบบไหน ผมไปหาคนมา coordinate ทำเลย เปิดหนังสือเมืองนอกมา ผมจะเอา เด็ก Draft ทำ shop drawing เลย เดี๋ยวสร้างเสร็จ สถาปนิกไปจ้างทำไม เสียเวลา เพราะไปจ้างเขาออกแบบแล้ว คุณก็ต้องมาจ้างผมสร้างอยู่ดี?<br /><br />สถาปนิกจะมีไปทำไม เพราะคนที่้ต้องรับผิดชอบกับ ชีวิตและความปลอดภัยจริงๆ คือผม ผู้รับเหมา เพราะผมเป็นคนตัดสินใจว่าจะสร้างยังไง สถาปนิกแค่มาดู Site ก่อสร้าง อาทิตย์ละครั้ง บางทีก็ไม่มา ?<br /><br />เอา แบบนี้เลยมั้ยครับ คุณสามเศร้า?<br /><br />ท่านบอกว่า ให้ผุ้จ้างตัดสินใจเอง โดยไม่มีกฎหมายมารองรับ เพราะถ้าเขาจะจ้างจริงๆ เขาก็มาหา มัณฑนากรหรือภุิมิสถาปนิกเอง งั้นผมถามว่า ถ้าวันนี้เรายกเลิกกฎหมายวิชาชีพสถาปนิกเลย ไ่ม่ต้องมี License สถาปนิกเลย ผมถามว่าลูกค้าเราจะจ้างเราหรือไม่<br /><br />ลูกค้าไม่ิวิ่งไปหาผู้รับเหมาตรงๆ ไปเลย แล้วเราไม่ต้องเป็นเบี้ยล่างผู้รับเหมาไปตลอดกาลหรือครับ ?<br /><br />ท่านกำลังอยากจะให้ มัณฑนากร และภุมิสถาปัตยกรรม เป็นเบี้ยล่างของสถาปนิกสายหลักแบบพวกเราหรือ ?<br /><br />ผมว่า ท่านใจดำมาก กับเพื่อนร่วมอาชีพสาชาใกล้เคียง ซึ่งขัดแย้งกับ ข้อแนะนำข้อแรกของท่านว่า ควรให้เกียรติผู้อื่น ยอมรับผู้อื่น แล้วท่านยอมรับ คนพวกนี้หรือเปล่าครับ?<br /><br />ผมเห็นด้วยว่าประชาชนควรได้ประโยชน์สูงสุด จากการตัดสินใจของเรา ประชาชนทั้งประเทศต้องมาก่อน แต่ปััญหาดูเหมือนจะอยู่กับเรื่องของ ขอบข่ายหน้าที่ ว่ามันจะต้องไปลงตรงไหน ถ้านั่นคือปัญหา ก็ไปแก้ตรงนั้น ไม่ใช่ไปยุบเลิกวิชาชีพเขาซะทั้งหมดแล้วมาฮุบรวมกับพวกเราซะเฉยๆ แบบนั้น<br /><br />ผมเห็นด้วยว่า กฎหมายเรื่องขนาดพื้นที่ ถ้ามันเป็นสนามหญ้าโล่งๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไ่ม่มีต้นไม่ ไม่มีระบบน้ำ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แล้วจะต้องมาหา ภูิมิสถาปนิกให้เซ้น มันก็ไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับลูกค้า<br /><br />ผมเห็นด้วยว่า กฎหมายเรื่องขนาดพื้นที่ของ มัณฑนากร ถ้างานมันไม่ซับซ้อน มีแค่ ผนัง พื้น แล้วก็ ผ้าเพดาน ตรงไปตรงมา เขียน Spec แผ่นเดียวจบ จะให้ต้องมี มัณฑนากรมาเซ้นให้ถูกกฎหมาย ก็ไม่เป็นธรรมกับประชาชนเหมือนกัน<br /><br />เราไปแก้ตรงนั้นแทนดีมั้ยครับ แทนที่จะคว่ำกระดาน หรือ Hijack กันซึ่งหน้าเลย<br /><br />4. ข้อสี่ คนที่เซ็นแบบควรจะเป็นเ้จ้าของกิจการเท่านั้น เพราะเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ก็ควรจะเป็นผู้ที่รับความเสี่ยงมากที่สุด การเซ็นยอมรับคือการรับความเสี่ยง การไปเซ็นโดยที่ไม่ดูนั้น เป็นเรื่องของคนที่ไปเซ็นเอง ผมเห็นด้วยเรื่องการยกเลิกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถากำลังจะ adopt American Model ของเรื่องการฝึกงานและการสอบ ซึ่งเขาก็ไ่ม่มีการแบ่งระดับ ที่นี่คนที่มีใบอนุญาติ ก็คือ ออกแบบอะไรก็ได้ ใหญ่แค่ไหนก็ได้<br /><br />ผมไม่ทราบว่าท่านไปคุยกับสถาปนิกญี่ปุ่นคนไหน แต่ คำว่า Kenchikushi นั้นแปลว่า Architect and Building Engineers ภายใต้กฎหมาย Kenchikushi Law ปี 1950 โดยใบอนุญาติของ Kenchikushi นั้นเป็นใบอนุญาติ เพื่อทำการออกแบบ (Design Building) หรือ ควบคุมการก่อสร้าง (Superintend Construction Work) และมี Kenchikushi อยุ่ สามประเภท ได้ก่<br /><br />1st-class Kenchikushi, - ออกแบบ อาคาร และ ควบคุมการก่อสร้างกับอาคารได้ทุกขนาด<br /><br />2nd-class Kenchikushi, - ออกแบบและควบคุมอาคารขนาดเล็กได้เท่านั้น ซึ่งหมายถึงอาคาร ต่ำกว่า หนึ่งพันตารางเมตร และอาคารที่สูงไม่เกิน 13 เมตร (ความสูงรวม) หรือความสูงของ ผนังพื้นที่ใช้สอยชั้นสูงสุด (eve) ไม่เกิน เก้าเมตร<br /><br />Mokuzo-Kenchikushi. – ทำได้เฉพาะอาคารไม้เล็กๆ เท่านั้น และนี่แหละ คือช่างไม้ที่ท่านว่า<br /><br />พอเห็นภาพของมั้ยครับ (คุ้นๆ ม้ยว่าเหมือนกฎหมายวิชาชีพสถาปัตยกรรมประเทศไหน)<br /><br />ท่านจะเห็นได้ว่า คำว่า Kenchikushi ไม่ได้แปลตรงๆ ว่าสถาปนิกเลย แต่เป้นคำที่ใหญ่มาก กินความถึงช่าง สถาปนิก วิศวกร ผุ้รับเหมา หรือเกือบจะเรียกได้ว่า เป็นสมาชิกทั้งหมดของอุตสาหกรรมการก่อสร้างก็ได้ (ยกเว้นผู้ผลิตวัสดุ) การที่ท่านมาบอกว่า สถาปนิกญุ่ปุ่น ไม่มีระดับ ก็คงจะไม่จริงทั้งหมด และการที่ท่านมาบอกว่า ช่างไม้ในญี่ปุ่นก็เป็นสถาปิกเหมือนกัน ก็คงจะไม่ผิด แต่ก็คงจะไม่ถูกเหมือนกัน เพราะในเมื่อ Term หรือ ศัพท์ดังกล่าว ไม่ได้เป็นเป็นสิ่งที่ Identical หรือเท่าเทียมกัน ท่านจะเอามาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร ??? (เหมือนเอาทุเรียนไทยไปเปรียบเทียบกับสาลี่ญี่ปุ่น อันไหนมีคุณภาพกว่ากัน ? จะเปรียบเทียบกันยังไงดีครับ? )<br /><br />ท่านเล่นอยากอ้างอะไรท่านก็อ้างโดยไม่มีการ ตรวจ ก่อนแบบนี้ แล้วเกิดเด็กมาอ่าน แล้วเขาเชื่อท่านหมดหัวใจ เอาไปป่าวประกาศทั้งประเทศว่า ญี่ปุ่นมีช่างไม้เป็นสถาปนิกด้วย โดยที่เขาเข้าใจว่า เป็นสถาปนิกเหมือนๆ กับพวกเรา แบบที่ท่านเข้าใจผิดอยู่นี่ ท่านจะรับผิดชอบหรือไม่ ? หรือท่านจะอ้างว่าก็ท่านฟังมาจากสถาปนิกญี่ปุ่น ก็น่าจะถูก<br /><br />ทุกวันนี้ ที่ประเทศไทยเราเพี้ยนกันหนักขนาดนี้ ก็เพราะมีนักวิชาการ ไปเรียนปริญญาเอก ไม่เคยทำงานทำการ นั่งเล่นเทียนอยู่บนหอคอยงาช้าง เท้าไม่ติดดิน อ้างข้อมูลไปมาโดยไม่ ตรวจสอบความถูกต้อง แล้วก็เอาข้อมูลไปใช้ ไปปฎิบัติเลย ออกมามันก็เละ แล้วประเทศเราก็เจอแต่ โครงการวิบัติ โครงการที่ไม่ work แผนที่ไร้ทิศทาง ปฎิบัติไม่ได้ แล้วใครรับกรรม? ก็ประชาชนไทยทั้งนั้น.<br /><br />ถ้าท่านรักประเทศไทยจริง เริ่มจากการตรวจสอบสิ่งที่จะแนะนำให้ชาวบ้านเขาทำก่อนจะดีหรือไม่ ว่ามาจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องหรือเปล่า ?<br /><br />ท่านอย่าได้อ้างว่า ท่านเจตนาดี เจตนาดีหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ เจตนาดีแต่ผลร้าย เอาไปลดหย่อนผ่อนโทษในศาลได้ถ้าท่านทำผิดกฎหมาย แต่ถ้าทำการพัฒนาแล้ว สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ผลของการปฎิบัติ ถ้าท่านกระทำหรือพูดอะไรด้วยความไม่รู้ ต่อให้เจตนาท่านดี ผลก็อาจะกลายเป็นวิบัติได้<br /><br />ถ้าอยากอ่านข้อมูลโดยละเอียด เชิญ ได้ที่นี่ครับ เป็น Website ของ Japan Architectural and Education Center<br /><br /><a href="http://www.jaeic.or.jp/">http://www.jaeic.or.jp/</a><br /><br /><br /><br /><br />5. ข้อห้า ผมว่า คนหลายๆ คนที่มาเสียเวลาเขียนอะไรในนี้ โดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทน ก็คงเป็นคนที่รักประเทศไทยและอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมที่ดีไม่แพ้ท่านหรอกครับ (แต่คำถามนี้ล่ะ เป็นคำถามที่ทำให้ผมเดือด)<br /><br />ถ้าเราออกกฎกันแปลกๆ ขึ้นราคาค่าประกอบวิชาชีพกันเอง แบบฮั้วกัน (cartel) ผมว่า สมาคมผู้บริโภคที่มีหูตาราวกับสับปะรด เขาจะจัดการกับเราเองครับ แบบที่เขาจัดการกับ กฟผ แล้วก็ กำลังจะจัดการกับ ปตท อสมท แพทย์สถา และอื่นๆ<br /><br />ถ้าท่านไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูด ผมก็จะรอคำตอบนะครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-68006604117441612302007-01-14T13:18:00.000-08:002007-01-14T13:19:10.372-08:00Interior Architecture และ Interior Designขอเอาของสหรัฐละกันนะครับ<br /><br />Interior Design เป็นวิชาชีพ ที่ต้องมีใบอนุญาติ โดย สมาคม the <a title="National Council for Interior Design Qualification" href="http://en.wikipedia.org/w/index.php?title=National_Council_for_Interior_Design_Qualification&action=edit">National Council for Interior Design Qualification</a> หลักๆ ของหน้าที่คือ การปรับแต่งสภาพแวดล้อมของ พื้นที่ภายในอาคาร โดยการปรับเปลี่ยน พื้นผิว และองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งจะต้องผ่านทางการใช้ข้อความสื่อสารและ การเขียนแบบก่อสร้าง รายการประกอบแบบ คำว่า Interior Design เป็น term ที่คนรู้จักกันมากและใช้อย่างแพร่หลาย ในระดับการประสานงานทางวิชาชีพ ระหว่างวิชาชีพที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ก็จะเรียกผู้ที่รับผิดชอบด้านการออกแบบพื้นที่ภายในว่า Interior Designer เพราะฉะนั้น ความหมายของ Interior Designer น่าจะชัด โดยส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องการศึ่กษานั้น จะเป็นระบบ สี่ปี และจะเป็นการศึกษาที่ยืนอยู่ในภาคของตัวเอง ไม่อิงกับคณะอื่นๆ ดังนั้น สาขาการศึกษาและวิชาชีพของ Interior Designer นั้น ชัดเจนมาก กรอบการทำงานก็ชัดมากคือ รับผิดชอบในเรื่อง FF&E หรือ Furniture Finishing and Equipment<br /><br />ในขณะที่ Interior Architecture นั้นเป็น ศาสตร์ที่คนพยายามคิดขึ้นมาเพื่อ เชื่อม ช่องว่างระหว่าง Architecture หรือ สถาปัตยกรรม กับ Interior Designer หรือ มัณฑนากร ซึ่งทั้งสองศาสตร์ในรอบ เกือบๆ 30 ปีที่ผ่านมามีองค์ความรู้ขยายไปอย่างมหาศาลมาก เนื่องจากการพัฒนาระบบอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์ อะไรก็แล้วแต่ ทำให้ คนจากทั้งสองวงการรู้สึกมีช่องว่างทางการสื่อสารขึ้นมา เลยพยายามจะหากลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นมาปิด ช่องว่างตรงนี้ ก็คือเป็นคนที่เข้าใจหลักทางวิทยาศาสตร์เรื่องโครงสร้าง เรื่องงานระบบทั้งหลายดี แต่จะเนั้นเรื่องสภาพแวดล้อมในอาคารมากกว่า ก็คือเหมือนกับ สถาปนิกที่เราต้องประสานงานกับ วิศวกร (ซึ่ง Interior Designer ไม่ทำ เขาจะคุยกับสถาปนิกคนเดียว) และ ก็เน้นการออกแบบสภาพแวดล้อมภายในด้วย ซึ่งเป็นกรอบการทำงานของ Interior Designer ฟังดูก็น่าจะเป็นวิชาชีพที่ดี ทีไ่ด้อยู่ทั้งสองโลก<br /><br />แต่่ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นคือเรื่องของ Term ในทางกฎหมายอีกนั่นเอง เพราะบุคคลที่จะใช้คำเรียกตัวเองได้ว่า สถาปนิก หรือ Architect ซึ่งได้กรณีนี้คือ Interior Architect คุณต้องได้รับใบอนุญาติ จาก National Council of Architectural Registration Board ซึ่ง ในกรณีนี้ คุณก็ต้องไปสอบ แล้วพอคุณเป็นสถาปนิก คุณจะเีรียกตัวเองว่า เป็น Interior Architect ก็ไ่ม่มีใครว่าอะไร เพราะในทางกฎหมายคุณคือ Architect เฉยๆ ในขณะเดียวกัน คุณจะเรียกตัวเองว่า Interior Designer ก็ไม่ได้ เพราะ คุณต้องได้รับ ใบอนุญาติ จาก NCIDQ ที่ได้กล่าวไปแล้ว ถ้าคุณไปสอบผ่าน ก็ไม่มีปัญหา คุณก็จะกลายเป็น Interior Designer ตามกฎหมาย<br /><br />เพราะฉะนั้น สรุปคือ ถ้ามองในการศึกษานั้น Interior Architecture จะ เป็นสาขาที่ดี เพราะคุณได้ สัมผัสทั้งสองโลก แต่ถ้าจบออกมาจะทำงานเหมือนแบบที่เรียนมาจริงๆ จะยาก เพราะสองโลกที่ว่า เขาจะบังคับให้คุณเลือก หรือไม่ก็ต้องเข้าร่วมมันทั้งสองโลกเลย จึงจะได้ประกอบวิชาชีพแบบที่เรียนมาจริงๆ<br /><br />รู้สึกว่าในสหรัฐ จะมีสาขาวิชาที่เปิดเป็น Interior Architecture จริงๆ สิบกว่าที่ แต่ละที่มีหลักสูตรแตกต่างกันออกไป เพราะไม่ีมีองค์กรที่มากำหนด มาตรฐาน ไม่เหมือนกับ สถาปนิก หรือ มัณฑนากร โดยตรง ที่มี องค์กรตรวจสอบมาตรฐานวิชาชีพมาวัดผลตลอดเวลา<br /><br />การข้ามสองโลกในวงการการศึกษาเป็นเรื่องปกติ เพราะจุดประสงค์คืการต้องการให้ความรู้ นักศึกษาให้ได้มากที่สุด การประกอบวิชาชีพนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งข้างหน้า ตัวอย่างที่ชัดๆ ก็คือ ภาควิชา สถาปัตยวิศวกรรม หรือ Architecture Engineering ที่เปิดสอนที่มหาวิทยาลัยระดับ Top Class แบบ Perdue เป็นต้น สถาปนิกที่ประกอบวิชาชีพที่ ผมเคยรู้จักจบมาจากที่นี่ จะเข้าใจเรื่อง งานระบบและงานโครงสร้างลึกมาก เวลาออกแบบนี่ทุกอย่างจะแป๊ะไปหมด และผมรู้สึกว่า ในประเทศ เยอรมันก็จะเป็น Architecture Engineering ยังไงฝากผู้รู้ช่วย Confirm ด้วยครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-34314587465885150562007-01-14T13:05:00.000-08:002007-01-14T13:07:18.024-08:00ตอบกระทู้: เรียนสถาปัตย์มาห้าปีได้อะไรเพิ่งได้ มาติดตามกระทู้นี้อีกที ปรากฎว่ากลายเป็นกระทู้ที่สนุกมาก ขอร่วม Jam อย่างเร็วๆ ละกันนะครับ (เดี่ยวจะต้องไปซักผ้าต่อ)<br /><br />ก่อนอื่นขอ Quote ของพี่วิญญูก่อนเลยว่า พี่วิญญูเข้าประเด็นได้จะแจ้งมาก ทั้งสองเรื่อง<br /><br />วินัย และ การเปลี่ยนจากนักเรียนมาเป็นมืออาชีพ<br /><br />สองเรื่องนี้ เราหย่อนยานกันมากในสมัยเรียนหนังสือ ตั้งแต่แต่งตัวไม่ตรงตามระเบียบ มาสาย ไม่Organize และแน่นอน ส่งงานไม่ทัน (คนที่ส่งทันก็ทันตลอด คนที่ไม่ทันก็ไม่เคยทัน) อะไรทั้งหลายแหล่ ทำตัวเป็น Artist มากทั้งๆ ที่เราไม่ใช่ Artist ซึ่งผมก็ต้องบอกว่า ผมก็เป็น สมัยเรียนหนังสือ แบบนั้นเลย ไม่รู้ว่าเพราะ trend มันไปแบบนั้นเลยต้องตามๆ กันหรือมันเป็นเพราะอะไร แต่ต้องมา Research กันเหมือนกัน<br /><br />แต่ผมก็ต้องบอกว่า สันดานพวกนี้ มันดัดได้นะครับ ขึ้นอยู่กับการที่เราไปอยู่ใน Environment แบบไหน ถ้าเราไปอยู่ใน สำนักงานที่เขาไม่สนใจเรื่องการเข้างาน คนก็มากันตามสบาย ถ้าไปอยู่ในสำนักงานที่ไม่มี นโยบายและการลงโทษที่เฉียบขาด เกี่ยวกับเรื่องการแอบเล่น internet หรือการแอบ chat คนก็เล่นกันเต็มที่ ตั้งแต่ surf net ประมูลของใน E-bay แล้วก็ chat กับเพื่อนไปด้วย ฟังเพลงไปอีกต่างหาก เจ้านายเรียนกก็ไม่ได้ยิน พอดี งานการไม่เดินกัน<br /><br />อันนี้ไม่ได้ว่า ทุกออฟฟิสของทำเหมือนกัน ใครชอบแแบบไหนก็ทำได้ อย่าง Kohn Pedersen and Fox นี้ เขามีนโยบายปล่อยเลย ให้เป็นระเบียบของหัวหน้าทีม ถ้าทีมบอกว่า ให้เขา 11 โมงเช้าก็ได้ ก็ตามนั้น แต่ต้องทำงานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 40 ชั่วโมง อันนั้นก็เป็นวิธีการจัดการของเขา<br /><br />แต่ถ้า office ไหนเฉียบขาด ทั้งหมดนี่จะไม่เกิด เพราะว่า คุณเป็นผู้มีอำนาจ คุณเป็นคนจ่ายเงินเดือน<br /><br />ประเด็นคนคือคนที่ Enforce กฎพวกนี้ ทำได้หรือเปล่า คุณพ่อของผมท่านเป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก เคยบอกผมไว้เรื่องนึงว่า เรื่องอะไรที่ตัวเองทำไมได้ อย่าไปหวังว่าจะให้ลูกน้องทำตามได้ เพราะเราเป็นหัวหน้า เราต้องเป็นคน set the bar พ่อผมท่านเห็นลูกน้องมาเข้างานสายบ่อยๆ วันหนึ่ง ก็เลยบอกว่า ต่อไปนี้ ประชุม ตอนเช้าทุกวัน พอบอกอย่างนั้น คนก็ยังไม่ค่อยสนใจ บางคนเข้างานตรงเวลา มาถึง 8 โมง ดันไปเล่น internet ถึง 8 โมง สิบนาที เดินเข้ามาห้องประชุม สติแตก พ่อผมท่านเปิดแฟ้มรอแล้ว นั่งกันแทบไม่ทัน หลังจากนั้น หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไม่มีใครสายเลย เพราะพ่อผมท่าน เล่นว่า ถ้า 8 นาฬิกาปั้บ เปิดแฟ้มทันที เริ่มพูดทันที ใครไม่มาก็ไม่รอ (ไม่เคยถามเหมือนกันว่า แล้วถ้าอยู่คนเดียวจะเปิดแฟ้มลุยเลยหรือเปล่า)<br /><br />เพราะฉะนั้น กฎ ไม่มีความหมายครับ ถ้าไม่มีการบังคับใช้ แล้วถ้าคนบังคับใช้ หย่อยยานเอง อย่าไปหวังให้คนทำตาม ทุกวันนี้ ความมีระเบียบเรียบร้อยใน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ทุกแห่ง เป็นเรื่องของ อาจารย์ผ่านกิจการนิสิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกว่า ถ้าอาจารย์คนหนึ่งเป็นอาจารย์กิจการนิสิต ถ้าเจอนักเรียนทำตัวไม่เรียบร้อยจะเข้าไปว่ากล่าวตักเตือน แต่ถ้าพอหมดตำแหน่งแล้ว ไปทำอย่างอื่น เจอนักเรียนพฤติกรรมเดียวกันกลับไม่ใส่ใจ เพราะถือว่าตัวเองไม่ได้เป็นรองกิจการนิสิตแล้ว แบบนี้มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าไปไปหวัง<br /><br />เรื่องที่สองคือเรื่องการเป็นมืออาชีพ จริงอย่างที่พี่วิญญุว่า ในโรงเรียนเราสอนกันน้อยมาก ผมจำได้ว่า ในสมัยผมเรียน อาจารย์ที่สอนผม คือท่านอาจารย์ อวยชัย วุฒิโฆษิต ท่านเป็นอาจารย์ผู้รอบรู้อย่างมากเรื่อง การออกแบบโรงพยาบาล แต่ผมก็จำได้ว่า แอร์มันก็เย็น วิธีการพูดของท่านอาจารย์มันก็ช่างนุ่มนวล พาให้เข้าสูภวังค์ แล้วก็เข้าไปจริงๆ อาจจะเป็นกรรมหรืออย่างไรก็ได้ ทุกวันนี้ไป Lecture ที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเรื่อง Professional Practice เกือบทุกๆ ครั้ง<br /><br /><br />แต่ประเด็นของผมคือ ผมจำได้ว่า วิชานั้น เรียนครั้งเดียว น่าจะตอนปี 4 แล้วก็ไม่เคยได้ยินอะไรอีกเลย<br /><br />ผมจำได้ว่า ตอนที่ผมจบ ผมไม่รู้ว่าวิศวกรมีหน้าที่อะไร มารู้อีกทีคือตอนที่ทำงานแล้ว ว่าเออ ไอ้วิศวกรมันเป็นพวกเรานี่ ทำไมสมัยเรียน เราไม่เคยชอบคณะวิศวะเลยนะเนี่ย (แต่คิดอีกแง่ วิศวกรก็กลายไปเป็นผู้รับเหมาที่ต้องงัดข้อกับเราก็เยอะ)<br /><br />เพราะฉะนั้นผมเห็นด้วยกับพี่วิญญูว่า เรามีปัญหา จริงๆ<br /><br />ส่วนตัวผมเองนั้น ถ้าเลือกได้ อีกหน่อยมีโอกาส โชดดีได้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยกับเขาบ้าง ก็อยากจะเอาวิชานี้เป็นวิชาประจำตัว ขอสอนเเองเลย ถือว่าเป็นการใช้กรรมที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนกับครูบาอาจารย์สมัยนั้น แล้วก็จะได้ช่วยๆ Inspire เด็กๅ เพราะผมเชื่อว่า จริงๆ แล้วกรอบวิชานี้ กว้างใหญ่ไปศาลมาก ตั้งแต่การบริหารโครงการ บริหารสำนักงาน บริหารการเงิน กฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล บริหารความเสี่ยง มีเรื่องให้คุยไม่รู้จักจบ ถ้าคุยถูกวิธี ยกตัวอย่างให้สนุก นักศึกษาต้องได้อะไรมากแน่นอน (วิชาที่ผมไม่อยากสอนเลยคือ ออกแบบ เพราะไม่คิดว่าตัวเองออกแบบเก่ง)<br /><br />แต่ถ้ามองในองค์รวมก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามว่า ทำไม Professional Practice ต้องเป็นวิชาหนึ่งที่แยกออกไป เพราะมันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆ วิชาอยู่แล้ว ในเมื่อเราเข้ามาเรียนหนังสือ เพื่อที่จะจบไปพร้อมที่จะเป็นมืออาชีพ ทำไมต้องมามีวิชาเล็กๆ สอนให้เราเป็นมืออาชีพอีก อันนั้นน่าคิด<br /><br />คำตอบก็คือ อาจจะเป็นเพราะทุกวันนี้ อาจารย์ที่ทำงานเต็มเวลา ไ่ม่เคยทำงาน (มีน้อยมากที่ เป็นอาจารย์เต็มเวลา แล้วก็ยังประกอบวิชาชีพอยู่ ซึ่งในสหรํฐอเมริกา ปัญหานี้ก็รุนแรงมาก) อาจารย์ที่ได้รับทุนมหาวิทยาลัยถึงปริญญาเอก ร่ำเรียนมานานแสนนาน จบมาเป็น ดร. แต่ไม่เคยเป็นลูกน้องที่ทำงานในบริษํทไหนเลย เป็นบุคคลจากหอคอยงาช้าง ลงมาโปรดสัตว์โลกผู้ยากไ้ร้ทางวิชาการ ซึ่งผมก็เชื่อว่าท่่านเหล่านี้มีวิชาความรู้ดีจริงๆ แต่จะให้สอนเรื่องความเป็นมืออาชีพ ผมว่าเป็นไปได้ยาก ในเมื่อท่านไม่เคยเป็นมืออาชีพมา่ก่อน แล้วการที่จะเอาอาจารย์ข้างนอกมาสอน ความผูกพัน ความต่อเนื่องมันก็น้อยอีก (ซึ่งเทียบกับสมัยก่อน การเป็นช่างคือ ครูพักลักจำ มันจะตรงไปตรงมา ไปเรียนเอาจากการทำงานจริง สมัยนี่คือเรืยนในโรงเรียน ฝึกวิทยายุทธแล้วลงจากเขามาลองท่องยุทธจักร พอลงมารู้ตัวว่า วิทยายุทธที่ฝึกมา ใช้ไม่ได้กับโลกแห่งความจริง เพราะอาจารย์ฺสอนมาไม่ตรงกับโลกข้างล่าง ก็เผ่นกลับขึ้นเขาแทบไม่ทันไปเป็นอาจารย์ที่หลุดออกไปจากโลกภายนอกเหมือนเดิม หรือไม่ก็ พายเรือออกจากแผ่นดินไปหาโลกใหม่อยู่เลย….<br /><br />……แต่ถ้าใครลงมาแล้ว ใช้วิทยายุทธที่ได้ร่ำเรียนมาเป็นพื้นฐาน ตั้งสติดีๆ เปิดหูตาให้กว้างๆ เรียนรู้จากยอดยุทธอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง เขาผู้นั้นก็อาจจะกลายเป็าเจ้ายุทธจักรได้เหมือนกัน….<br /><br />….เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องของ ทางเลือกแต่ละคน ใครอดทน ใครอ่อนแอ ใครหนักแน่น ใครจับจด ใึครขี้ประชด ก็ว่ากันไป ….<br /><br />พูดมาเสียยาวก็ ขอตอบประเด็นเจ้าของกระทู้ ก็คือว่า<br /><br />ผมคิดว่าการเรียนมาห้าปี นั้น สิ่งที่เราได้คือ “วิธีการเผชิญปัญหาและแก้ปัญหา” ซึ่งหลายๆ คณะไม่ได้เจอแบบเรา เขาอ่านหนังสือ แล้วเขาก็ไปสอบ เขาไม่มี task มาอยู่ตรงหน้าแล้วต้องทำให้เสร็จ (ถ้าเขาไปทำ ปริญญาโทถึงจะได้เจอ) ซึ่งเราต้องนับว่า เราล้ำหน้าสาขาอื่นไปหลายๆ สาขา ถ้าพูดถึงในแง่ของการใช้ชีวิต (ยกเว้น แพทย์ อันนั้นเขาเจอโครงการที่เรียกว่า คนไข้ วันละเป็นสิบคน แต่ ทนาย หรือ วิศวกร อย่างมาก็มีแค่ case มาให้ศึกษา ไม่เคยได้ลองลงมือทำจากอากาศ ทนายก็ไม่เคยว่าความตอนเรียนหนังสือ)<br /><br />เพราะฉะนั้น การศึกษาที่พวกเราได้จากสาขาวิชานี้คือการศึกษาวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราหัดจัดการให้ดี เราเอาไปปรับใช้กับอะไรก็ได้ นั่นอาจจะเป็นคำตอบว่า ทำไมถึงได้มีคนออกไปทำงานอย่างอืนแล้วประสบความสำเร็จ เพราะเขาได้ ทักษะ ตรงนี้ไป แต่เขาเอาไปปรับใช้ในสิ่งที่เขาชอบ<br /><br />อยากจะบอกอีกอย่าง ที่คุณ Seim กับพี่วิญญูเถียงกันนี่ มันมีประโยคที่พูดถึงในวงการสถาปนิกที่ สหรัฐนี่บ่อยๆ ว่า<br /><br />The guy who get and “A” end up being a teacher. And a guy who get a “B” end up working for a guy who get a “C”<br /><br />แปลว่า คนที่เรียนได้เกรดสี่ ก็จะไปเป็นอาจารย์ ส่วนคนที่ได้เกรดสาม จะต้องไปทำงานเป็นลูกน้องคนที่ได้เกรดสอง<br /><br />เพราะอะไร เพราะว่าคนที่ได้เกรดสอง มันเป็นพวกรอบจัด เรียนหนังสือพอผ่าน เอาเวลาไปเข้าสังคม รู้จักเพื่อนฝูง สร้าง network กลายเป็นคนที่มีเพื่อนมาก แล้วพอจบมาำทำงาน ก็พวกเพื่อนๆ พวกนี้ล่ะ ขน Project มาให้ เพราะผมเชื่อว่า ทุกๆ ท่านในที่นี้ก็รู้ว่า เวลาคนเขาจะให้งานกัน เขาอาจจะไม่ให้คนที่เก่งที่สุด แต่เขาจะให้คนที่เขาไว้ใจที่สุด แล้วใครจะเป็นคนที่เขาไว้ใจ ถ้าไม่ใช่เพื่อนเขา ที่จะปกป้องการลงทุนอันมหาศาล ในการก่อสร้างของเขา ได้ดีกว่าเพื่อนแ้ท้ของเขา (อันนี้ไม่ใช่โฆษณา บริษัทประกันนะครับ)<br /><br />เพราะฉะนั้น Scenario ที่คุณ Siem พูด ที่ว่า<br /><br />“แต่เท่าที่เห็นจนถึงเดี๋ยวนี้ ส่วนใหญ่ไอ้พวกเด็กที่โดดๆเนี่ย ออกมาแล้วทำงานด้วยง่ายกว่า,ไปได้ดีกว่าพวกเข้าเรียนทุกๆครั้ง คะแนนดีๆซะอีก........จริงๆนะ”<br /><br />ผมเชื่อว่าเป็นไปได้ครับ มันขึ้นอยู่กับว่า คนๆ นั้น “โดด” เรียน แล้วเอาเวลาไปทำอะไร ไปทำกิจกรรม กับเพื่อนๆ คณะอื่น เข้าสังคม ทำอะไรที่เขาคิดว่าเป็นประโยชน์ ฝึกทักษะที่เขาสนใจ (เรียนมหาวิทยาลัย คิดว่าอะไรมีประโยชน์ก็น่าจะคิดเอง ตัดสินใจเองได้) แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคนๆ “โดด” แล้วเอาเวลาไปทำอะไรที่ไร้สาระ ไม่ได้พัฒนาตัวเองตรงไหน มันก็ไม่น่าจะไปรอดเหมือนกัน<br /><br />ผมเห็นด้วยกับคุณ Siem อีกเรื่องนึงคือเราให้ความสำคัญกับ ป้าย หรือคะแนนมาก ที่คุณแม่ของผม ต้องเคียวเข้ญให้ผมไปเรียน ปริญญาเอกมาให้ได้ ส่วนหนึ่งก็คือ อยากให้ลูกฉลาด (ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จุดประสงค์นี้สำเร็จแล้วหรือยัง อาจจะยังก็ได้) สองก็คือ เป็น ป้าย ที่จะเอาไว้ให้คนได้เห็นแล้ว ต้องขยับถอยหลังหนึ่งก้าว ถ้าคิดจะลองดีทางวิชาการ ซึ่งมันเป็นความจริงอันน่าเจ็บปวดจริง<br /><br />เพราะว่า มันเหมือนกับ ผมเป็นนักท่องยุทธจักร มาดดี มีกระบี่ชั้นหนึ่ง Form ดีมากๆ ดูแล้ว น่าเกรงขาม แต่มันจะมีประโยชน์ อะไร ถ้าผมดึงกระบี่ออกมาฟาดฟันกันแล้ว ผมแฟ้คนที่ ดูมาดไม่ค่อยดี กระบี่ห่วย form ก็ไม่เข้าตา<br /><br />คนจบปริญญาเอก ก็คือมีป้าย การพูดการจาก็คือ การร่ายรำอยู่คนเดียว อาจจะสวยงามเพราะมีครูดี แต่ถ้าถึงเวลาต้องประจันหน้าคู่ต่อสู้ แล้วคุณจอดภายในสามเพลง มันก็ไม่มีค่าอะไร<br /><br />ผมขอเป็นยอดยุทธ ใส่เสื้อผ้าโทรมๆ มีไม้ไผ่หักๆ อันเดียว แต่เจอศัตรูเป็นร้อย ฟาดฟันให้แตกพ่ายในพริบตา ดีกว่าเยอะ<br /><br />แต่ทำไงได้ เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม ในเมื่อสังคมไทย มองคนที่เรื่องของป้ายเป็นเรื่องใหญ่ ผมก็เลยต้อวิ่งไปเอาป้ายมาก่อน แล้วทุกวันนี้ก็พยายามฝึกวิทยายุทธ ไปพลางๆ<br /><br />คำไทย ถึงได้มีไงครับว่า “ท่าดี ทีเหลว” ผมก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้ ถ้าเป็นไปได้<br /><br />แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ต้องมีศีลธรรมด้วย<br /><br />ผมพูดจริงๆ เลยว่า ความรู้ที่ผมมีหลายๆ อย่าง ที่ได้เอามา shareๆ กับท่านทีอยู่ในที่นี้ ได้มาจากตอนที่ผมไปทำงานทั้งสิ้น บางท่านอาจจะบอกว่า ก็ผมจบ U ที่ไม่ดัง ก็ต้องยอมรับครับ ผมไม่ได้จบ U top ten อะไร แต่ผมก็ไม่ได้พยายามจะแข่งอะไรกับใคร แต่พยายามแข่งกับตัวเองทุกวันอยู่<br /><br /> สุดท้ายอยากจะขอ Quate อันนี้<br /><br />“ฉันโง่ ฉันเขลา ฉันทึ่งฉันจึง มาหา ความหมายหวังได้ กลับไป มากมายสุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว”<br /><br />ผมว่าตรงนี้ คือจุดวิกฤติการศึกษาของประเทศไทย เราตั้งโจทย์ในการศึกษาผิด<br /><br />เราคิดว่า เราไปเรียน เรามุ่งหวังปริญญา เราไม่ได้มุ่งหวังความรู้<br /><br />ถ้าเรามองการศึกษาเหมือนกับการเล่นตู้เกมตามห้าง ทุกอย่างมันจะออกมา clear มาก<br /><br />คุณไปเล่นตู้เกม คุณจ่ายเงิน สิ่งที่คุณได้คือะไร แน่นอน คุณได้ ความมัน และอีกอย่างที่คุณได้คือ “ความรู้”<br /><br />ผมไม่ได้พูดถึงความรู้ที่จะเอาไปหาเงินอะไร แต่เป็นความรู้ที่เป็นทักษะ คุณได้ฝึกฝนทักษะ ซึ่งจะทำให้คุณเล่นเกมได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ในโอกาสต่อๆ ไป คุณเล่นแพ้ คุณก็จ่ายเงินเข้าไป เล่นใหม่ ยิ่งเล่นมาก ทักษะ คุณก็ดีมาก แล้ววันหนึ่ง คุณก็เล่นจนจบ สิ่งที่ได้คือทักษะระดับสูง ซึ่งถ้าคุณกลับมาเล่นอีก คุณก็ต้องเล่นได้ดีแน่นอน<br /><br />เกมตู้ของเรา เป็นเกมตู้สถาปัตยกรรม ต่างกันกับเกมตู้ทั่วไปก็คือ เกมตู้ของเรา ฝึกทักษะที่จะออกไปประกอบวิชาชีพได้<br /><br />เวลาคุณสอบตก ก็คือคุณเล่นไม่ผ่าน คุณจะมาอ้างอะไรได้ ? ตู้เกมมันจะยอมคุณมั้ย?<br />มันจะยอมคุณมั้ย ถ้าคุณบอกว่า แหม ผมจะฆ่า boss ด่านนี้ได้แล้ว พลังมันเหลือแค่ขีดเดียวเอง แต่ผมดันตายก่อน ให้ผมผ่านไปด่านต่อไปเถอะนะ ?<br />มันจะยอมคุณมั้ยถ้าคุณบอกว่า โหย Hard Mode ยากจัง ขอเล่นแบบ Easy mode แต่ขอดูฉากจบ แบบ Hardmode นะ?<br /><br />มันคงไม่ยอมคุณหรอกใช้มั้ยครับ<br /><br />เช่นกันถ้า คุณเป็นผู้เล่น เข้ามาเล่นแล้ว สิ่งที่ได้คือ ความมัน และ skill ที่จะเอาเป็นเล่นต่อในโลกภายนอกได้จริงๆ ปริญญา ไม่ปริญญา มันไม่น่าจะสำคัญมาก (เวลาเล่นเกมจบ คุณสนใจมั้ยว่า มันมีกระดาษ print ออกมาให้เป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า คุณเล่นเกมนี้ได้เก่งมา จบแล้ว คุณจะสนทำไม ในเมื่อในใจคุณรู้ว่า คุณเล่นจบมาจริงๆ ด้วยความสามารถ ไม่ได้ไป print มาเอง)<br /><br />เก่งไม่เก่ง ก็มาลองเล่นกันดู แข่งกันดูสิ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครแน่กว่าใคร<br /><br />ผมบอกได้เลยว่า ทุกวันนี้ จับผมไปแข่งกับ พี่ draft man บางคนที่จบ ปวส. ผมอาจจะโดนดาบเขาฟันขาดสองท่อนในสามเพลงก็ได้<br /><br />เพราะฉะนั้น ต่อให้ผมจบ ด๊อกเตอร์มาอีกสามใบ ผมก็ไม่สามรถหยุดฝึกฝนวิทยายุทธได้ เพราะผมไม่อยาก “ตาย”<br /><br />แต่ในขณะเดียวกัน ท่านๆ ที่เห็น คนถือป้ายด๊อกเตอร์ทั้งหลายเดินไปเดินมา ผมอยากให้ท่าน ขอท้าประลองให้ทั่วหน้าทุกๆ คน (แล้วแต่จะประลองเกมไหน)<br /><br />ถ้าคุณไม่เคยประมือกับเขา คุณจะไม่มีทางได้รู้ว่าเขาเก่งแค่ไหน และที่สำคัญที่สุด “คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองเก่งแค่ไหน” ถ้าไม่ได้ใช้ความสามารถที่ร่ำเรียน ฝึกฝนมาในการต่อสู้จริง อย่าไปกลัวคนพวกนี้ ถามคำถามไปเลย ลองภุมิไปเลย ท้าทายไปเลย ถ้าเขาแน่จริง เขาจะแสดงให้คุณเห็นเอง<br /><br />เราต้องจบยุคที่ คนเรียนสูงก็ได้รับการยกย่องไปโดยอัตโนมัติโดยไม่มีการตราจสอบความสามารถอย่างแท้จริง<br /><br />ถ้าทำได้แบบนั้น ผมเชื่อว่า เราจะได้สังคมวิชาชีพที่เป็นธรรมมากขึ้น จะได้นับถือคนที่ควรนับถือจริงๆ กันซะที<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-60668000089221740052007-01-14T13:00:00.000-08:002007-01-14T13:02:25.620-08:00ความแตกต่าง ระหว่าง Townhome กับ TownhouseTown home กะ Townhouse นี่ตามความเห็นส่วนตัวน่าจะเหมือนกันนะครับ ทำงานที่นี่ออกแบบ Townhome ผมถามเพื่อนฝรั่งทำไมไ่ม่เรียกว่า townhouse มันก็บอกว่าไม่รู้ แต่<br /><br />รากของ Townhouse มาจากอังกฤษ ในสมัยพวกขุนนางทั้งหลายที่ต้องเขามาประชุมในเมืองหลวง จะมีที่พักของตัวเอง ที่อยู่ในเมือง ซึ่งจะมาใช้เฉพาะเวลาที่เข้ามาประชุมเท่านั้น ต่างกับ Country House ซึ่งเป็นที่อยู่ประจำ<br /><br />Home Office อันนี้เป็นบ้านที่มีการปรับ ให้บางส่วนเป็นสำนักงานไปด้วย เช่นที่สหรัฐนี่ ส่วนใหญ่ก็เอาที่จอดรถในบ้านมาทำเป็น Home Office แล้วก็จอดรถข้างนอก จะเหมือนกัน<br /><br />Shop House หรือตึกแถวของเรา แต่ตึกแถวเน้นการค้าขาย สิ้นค้า ที่มีการขนส่ง (Loading) มากกว่าพวก Home office ที่นั่งโต๊ะทำงานเป็นการให้บริการ มากกว่าการขายสิ้นค้าโดยตรง ดังนั้นเรื่อง Accessible ที่จะต้องติดถนนจึงไม่จำเป็นมากเท่า Shop House และ Shop House นี่ล่ะน่าจะเป็นอาคารพาินิชย์ เพราะสร้างขึ้นมาเพื่อการค้า (แต่คนไทยเอาไปอยู่อาศัยด้วย)<br /><br />อันนี้ไ่่ม่เกี่ยวกับคำแปลตามกฎหมายนะครับ อันนี้ความเห็นส่วนตัวของผมเอง<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-46085892600741804852007-01-14T12:48:00.000-08:002007-01-14T12:49:52.995-08:00คุณภาพในการออกแบบ กับการปรับเข้าหา FTAจะไป Style ไหน หา Identity ความเป็นไทยเจอหรือไม่ หรือว่าจะหลงทางไปทางใด ผมว่าก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้าง Subjective และแล้วแต่ท่านผู้เชี่ยวชาญจะตีความ<br /><br />สำหรับตัวผมเอง เห็นว่าเรื่องที่สำคัญมากตอนนี้คือเรื่อง คุณภาพที่จับต้องได้ และพิสูจน์ได้โดยตรงอย่างไม่ต้องการตีความ<br /><br />ถ้าหากจะโยงไปเรื่อง FTA หรือ กระแสอื่นๆ จากต่างประเทศที่จะเข้ามาหาเรา หรือถูกผลักเข้าไปหาเขานั้น ผมว่า คุณภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก<br /><br />คุณภาพที่ผมกำลังพูดถึงเหล่านี้คือ<br /><br />1. การออกแบบอาคารเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร (Safety in Built Environment)<br />ในกรณีนี้ ครอบคลุมไปถึงการหนีภัยในกรณ๊ฉุกเฉิน ไปจนถึง การออกแบบอาคารไม่ให้เกิดสภาวะความเป็นพิษในสภาพแวดล้อมภายใน เช่นในเรื่องของ Mold เป็นต้น<br /><br />2. การออกแบบเพื่อการเข้าถึงของคนพิการ (Handicap Accessibility) โดยเปิดโอกาสให้คนที่อยู่บนรถเข็น คนตาขอด คนหูหนวก ฯลฯ ให้คนเหล่านี้ได้ใช้ อาคารหรือสภาพแวดล้อมที่ถูกก่อส้างโดยมนุษย์ได้เหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไป<br /><br />หลักการทั้งสองนี้ เป็นเรื่องที่น่าทำเพราะเป็นเรื่องที่พิสุจน์ได้ชัดเจน และเป็นเรื่องที่ โจมตีประเด็นที่คนไทยคิดว่าแข็งแรง แต่จริงๆแล้วอ่อนแอมาก ได้แก่เรื่องของสิทธิมนุษยชน คืออย่างในประเด็นที่ 1 นั้นคือ คุณค่าของชีวิต มีกี่ชิวิตแล้วในเมืองไทยที่ต้องสังเวยเพราะความสะเพร่าในการก่อสร้างและการออกแบบ และ ประเด็นที่สองคือ เรื่องของความเท่าเทียมกันในสังคม<br /><br />ก่อนที่เราจะไปไกลกันมากในเรื่อง Concept และ ความเป็นไทย หรืออะไรก็ตาม เรื่องปลอดภัย และเรื่องความเท่าเทียมกันของสังคม เป็นเรื่องใหญ่มาก ที่กฎหมาย และมาตรฐานการก่อสร้างของเราเองยังไปไม่ไกลเท่าไหร่ และทั้งๆ ที่กฎหมายเราก็ไม่ได้ไปไกลอยู่แล้ว ก็ยังมีการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ทำตามกันอีก<br /><br />ถ้าต่างประเทศจะหาเรื่อง attack เรา ก็จะมามุมนี้ โดยหาว่า Standard เราไม่ดี ต้องใช้ Standard ของเขา แล้วพอเราทำตามไม่ได้ เราจะตายทันที ในน้ำตื้น น้ำของเราเอง<br /><br />อย่าคิดว่าการที่ต่างชาติจะมานั่งร่างกฎหมายในประเทศไทยเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องของ พลกำลังในการเจรจา และพลกำลังในปัจจุบันคือการเงิน ประเทศเราเป็นหนี้ประเทศไหน หรือมีประเทศไหนเป็นคู่ค้าสำคัญที่เราได้ดุลเยอะๆ บ้าง ประเทศนั้นละที่เป็นประเทศที่เสียงดัง และรัฐบาลเราทำได้อย่างเดียวคือทำตาม<br /><br />ปรับตัวดีๆ นะครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งหลาย<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-72096824120404709852007-01-14T12:39:00.000-08:002007-01-14T12:40:53.799-08:00Playstation III กับอนาคตของการออกแบบสถาปัตยกรรมและแล้ว ก็ึถึงวันนี้ กับ Playstation III<br /><br />เขียนเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2006<br /><br />เมื่อ วันพฤหัส ที่ 16 พฤศจิืกายน ที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ มีปรากฎการทางเทคโนโลยีที่สำคัญมาก เกิดขึ้น ได้แก่การเปิดขายเป็นเครั้งแรก ของเครื่องเล่น Playstation 3 ที่ทุกคนรอคอยมานานแสนนาน<br /><br />ผมเองซึ่งเป็นคนเล่นวิดีโอเกมเหมือนกัน ถึงแม้อยากจะได้เป็นเจ้าของไว้สักเครื่อง แต่เห็นราคาที่สูง ขนาดนี้ ($600) แล้วแถมยังต้องไปต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาครอบครอง ในขณะทียังมีเกมออกมาไม่มาก แถมราคาแผ่นเกมก็แสนแพง (เกมแผ่นผี ที่นี่หายากมาก) ก็เลยคิดว่า คงจะรอดูไปก่อน<br /><br />ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะลองหาข้อมูลไปพลางๆ<br /><br />ก็ต้องบอกจริงๆ ครับว่า ประทับใจมาก กับคุณภาพของ Graphic ทั้งภาพและเสียงที่ออกมา มันทำใ้ห้รู้สึกว่าการเล่นเกม ไม่ใช่ความสะใจที่เราจะมาใส่อารมณ์กันมันๆ หน้าจออีกแล้ว มันกลายเป็น “ประสบการณ์เสมือน” ที่นับวันเราจะแยกแยะโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกเสมือนออกจากกันยากขึ้นทุกที Playstation 3 นี้ทำใ้ห้เส้นแบ่งดังกล่าวเบลอ ไปอีกระดับหนึ่งทีเดียว<br /><br />พอได้รู้สึกอย่างนั้นแล้ว มันก็เหมือนมี flash back ขึ้นมาในหัว ย้อนกลับไปเมื่อครั้งอดีต<br /><br />ผมเคยคุยกับเพื่อนเหมือนกันว่า คนรุ่นเรา (เกิดในช่วงปี 1975-1980) น่าจะเป็นยุคที่ค่อนข้างโชคดี เพราะได้เห็นการ ก้าวกระโดด ของเทคโนโลยี แบบชัดเจนมาก<br /><br />เริ่มต้นเลยคือว่า สมัยเด็กๆ ตอนอยู่ประถม ผมก็รบเร้าให้คุณแ่ม่ซื้อเครื่อง Famicom ให้ เกที่เล่นเป็นเกมแรก คือ Super Mario 1 เป็นเกมตลับ เสียบแล้วเล่น ที่ติดมากที่สุดเลยคือ Rockman เล่นได้ไม่กินข้าว ไม่หลับไม่นอน<br /><br />พอตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับ Computer ทุกคนต้อง Draft มืออย่างเดียว แต่คำว่า AutoCAD เริ่มจะเป็นที่คุ้นๆ กันบ้าง พอผมขึ้นปี 3 ที่บ้านก็ซื่อเครื่อง Computer ให้ซึ่งเป็นชุดที่หรูหรามาก มี RAM ถึง 16meg (ซึ่งตอนนี้ฟังดูเหมือนเรื่องตลก) ราคาแพง<br />มาก แต่ผมแทนที่จะเอามาหัด AutoCAD อย่างแข็งขัน ก็ดันเอาไป เล่น telnet จีบสาว ซึ่งตอนนั้น Program ที่ใช้ Chat ข้ามมหาวิทยาลัยได้ก็คือ Telnet หรือ Hyper Terminal เท่านั้น (ก่อนที่จะถึงยุค ICQ ซึ่งเปลี่ยนสังคมการหาเพื่อนใหม่ไปอย่างรุนแรง) ส่วนในตอนนั้น HTML ใช้เวลา Load ข้ามคืน กว่าจะได้รูปโป๊ดารา 1 รูป<br /><br />กว่าจะเริ่มใช้ AutoCAD เป็นจริงๆ ก็อยู่เข้าไปปี 4 ซึ่งอย่างที่บอกว่ารู้สึกโชคดีก็เพราะว่า ได้เห็นทั้งสองโลก ทั้งการเขียนมือ และการใช้ CAD ตอนนั้นจำได้ว่า ร้อนวิชามาก อยากทำ 3D เป็นให้ได้ มีงานที่อาจารย์สอน CAD ท่านให้มา เพื่อนที่ทำงานในชั้นบอกว่า ยาก ทำไม่ได้ ผมก็เลยอาสาว่า เอางี้ ให้ทุกคนมาที่บ้านผม แล้วผมจะทำการบ้านชิ้นนี้ให้หมดเลย เอาเป็นว่ามานั่ง แล้วบอกว่าจะเอาอะไร ผมจะขึ้น Form ให้ ก็ดูเหมือนจะเป็นกรรมดี เพราะตอนนี้ก็เลย ทำ 3D ได้ แต่ยัง Render ไม่เป็น ห่วยมาก<br /><br />หลังจากนั้น พอมาเรียนเมืองนอกก็ได้สัมผัสกับ Internet ความเร็วสูง T-1 Cable ที่เร็วมหากาฬ download เพลงได้ภายใน 10 นาที ซึ่งถือว่าเร็วมากๆ ตอนนั้น (ตอนนี้ 15 วินาทีอย่างมาก)<br /><br />และเมื่อเรียนจบออกมาทำงาน ผมก็เห็นตัวเองเป็นมนุษย์ที่ตาอยู่ต่อหน้า Computer ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ถ้าอยู่นอกบ้านก็ใช้ Blackberry อยู่ในบ้านก็ใช้ Laptop ทำทุกๆ อย่าง มันเปลี่ยนโลกทัศน์ไปหมด<br /><br />จนวันนี้ ที่เห็นการพัฒนาไปอีกขึ้นคือ Playstation 3 ซึ่งแทบจะเป็น ทั้ง PC ไปในตัว มีท้ง สายเคเบิ้ลต่อออก และ USB Port และเครื่องอ่านแผ่น Blue-ray ซึ่งจะเก็บควาจุแต่ละแผ่นได้ 40Gig ขึ้นไป ซึ่งนั่นคือขนาดของข้อมูลซึ่งในอนาคตก็จะเป็นเรื่องปกติ (http://en.wikipedia.org/wiki/Blu-ray_Disc)<br /><br />ทีนี้ถ้าพูดถึงในเชิงสถาปัตยกรรม ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปที่กระทู้เรื่อง มีคนถามว่า คนที่ทำ Perspective ด้วยมือเป็นอาชีพจะรอดมั้ย ผมว่า ถ้าดูกันโดยภาพรวม แล้วก็ใช้หลักการแบบที่พี่วิญญูว่า ว่า “คนที่เก่งมากๆ สุดๆ นั้น เอามานับรวมไม่ได้” เพราะคนพวกนี้ ถ้าอยู่ในระดับความสามารถดังกล่าว ไปอยู่ในวงการไหน ก็อยู่รอดได้ ก็คงต้องฟันธงเลยละครับว่า โอกาสรอดของวิชาชีพเขียนด้วยมือ จะน้อยลงไปเรื่อยๆ<br /><br />มันจะหดตัวลงจนเหลือเป็น Master Piece ซึ่ง นักขาย เวลาเขาจะ Request เขาจะถามเลยว่า ใครเขียน Perspective มือสวยที่สุด เพราะเขาจะ ระบุตรงตัวในสิ่งที่เขาต้องการ<br /><br />ซึ่งมันจะต่างกับการ Request ในเชิงของการ Presentation ธรรมดาๆ ที่ เวลาเราทำแบบแล้ว เขาขอ Animation, 3D model ไปด้วย ต้องเอา Fly-through Video ไป Present ให้ลูกค้า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย และชัดเจนกว่า ภาพ Perspective ที่เขียนด้วยมือมาก<br /><br />จากประสบการณ์ที่พบในสหรัฐอเมริกา ภาพ Perspective ที่เขียนด้วยมือ จะถูกนำมาใช้ในทางการตลาด มากกว่าการแสดงข้อมูลให้เจ้าของงานได้เข้าใจ ดังนั้นถ้าโครงการไหน ไม่มีการตลาดปน คนทำ perspective มือแทบจะไม่มีโอกาสเลย และต้องอย่าลืมว่า โครงการที่ต้องการการตลาดดังกล่าวส่วนใหญ่ ที่จะ request คนเขียน Perspective ด้วยฝีมือนั้น จะต้องเป็นโครงการที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น บ้าน หรือ อาคารที่อยู่อาศัย ที่ต้องการ ความเป็นธรรมชาติ อ่อนโยน มีชีวิต ในขณะที่โครงการประเภทอื่นๆ ที่ Computer Presentation กินขาดหมด<br /><br />สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผมเห็นใน Playstation 3 ก็คือ Generation ของคนเล่นเกมแบบพวกเรา และคนรุ่นหลังลงไป ที่จะเป็นคนที่มีความเข้าใจ Virtual 3D Environment เป็นอย่างดี คนพวกนี้ที่มีเงินซื้อเกมต่างๆ มาเล่นตั้งแต่เด็กๆ ต่อไปก็จะเป็นลูกค้าระดับ Top Class ของพวกเรา แล้วคนพวกนี้ล่ะ ที่จะ demand การบริการที่ต้องมีประสิทธิภาพ จากสถาปนิก อย่างน้อยๆ ก็ต้องพอสมน้ำสมเนื้อกับเกมที่เขาเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ ล่ะ<br /><br />ต่อไปลูกค้า เวลาที่จะตรวจงาน อาจจะหยิบ Joy ขึ้นมาแล้วกดปุ่มเดินไปเดินมาเองใน โลกเสมือนที่สถาปนิกสร้างขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า อีกหน่อยก็คงจะเป็น VR เข้าไปอยู่ในนั้นเองจริงๆ แบบที่มีแสงเงา อย่างเนียนมาก<br /><br />เราจะเจอกับลูกค้าที่เข้าใจความเป็นสามมิติเป็นอย่างดี สื่อสารกับเราเ้ข้าใจมากขึ้น อาจจะอธิบายได้ดีขึ้นว่าเขาต้องการอะไร แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องให้การบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวดเร็วขึ้น และผิดพลาดน้อยลง<br /><br />อยากจะพูดเรื่องเกมที่ เคยเล่นในสมัยของ Playstation 2 และมีความประทับใจเรื่องฉากที่ เขาทำออกมาจริงๆ แ่ต่ขออนุญาิติไปพักผ่อนก่อนนะครับ ช่วงนี้ในสหรัฐคือ Thanks Giving พอมีเวลาแวะมาเขียนบ้าง นิดหน่อย<br /><br />อาจจะกระจัดกระจายบ้าง แต่เอาเป็นว่า Share ประสบการณ์ส่วนตัวกันสนุกๆ ละกันนะครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-14752162058659071882007-01-14T12:27:00.001-08:002007-01-14T12:34:48.756-08:00ความประทับใจที่ สถาปัตย์ มหาสารคาม<p>คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง และ นฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สถาบันการศึกษาที่มีอนาคตไกล</p><p>เขียนเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2006</p><p><br />ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษ เีกี่ยวกับการออกแบบอาคารสูงและโรงแรมที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผังเมือง และ นฤมิตศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามเมื่อวันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2549 ที่ผ่านมา<br /><br />คณะนี้เป็นคณะที่ มีสามภาควิชาได้แก่ สถาปัตยกรรม ผังเมือง และ นฤมิตศิลป์ โดยจะเป็นปริญญาตรีทั้งหมด<br /><br />ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกผม ตามประสาคนกรุงเทพ ก็คิืดว่า เป็นการไปช่วยเหลือมหาวิทยาลัยที่ห่างไกล และไม่พร้อมในทุกๆ เรื่องตั้งแต่สถาบัน ยันจำนวนอาจารย์ต่อนิสิตและศักยภาพของนิสิตเองด้วย นอกจากนี้จากการที่ได้อ่านบทความเกี่ยวกับการรับนิสิตในมหาวิทยาลัยของรัฐที่ถูกกล่าวหาว่า จะเน้นแ่ต่การเอาเงิน โดยรับเด็กเพิ่มมากๆ เพื่อรับค่าเล่าเรียน แต่มีอาจารย์ไม่เพียงพอ หรืออะไรก็แล้วแต่ เอาเป็นว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ไปสอนๆ ให้จบๆ ก็แล้วกํน<br /><br />แต่ก็ต้องยอมรับว่าคิดผิดไปถนัด<br /><br />เมื่อไปถึงก็มีอาจารย์มาต้อนรับ มีอาคารเรียนที่ใหญ่โต (ทราบอีกครั้งว่าเป็นของคณะศิลปกรรมศาสตร์) แต่อาคารของคณะสถาปัตย์นั้นกำลังก่อสร้างอยู่ นอกจากนี้ การที่ได้รู้จักกับคณาจารย์ ก็ิยิ่งประทับใจ โดยเห็นได้ว่าเป็นผู้ที่มีทั้งความรู้ ทั้งกำลัง และทั้งอุดมการณ์<br /><br />คืออาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่ผมรู้จัก ไม่ว่าจะในเืมืองหรือนอกเมือง ถ้าเป็นมหาวิทยาลับของรัฐจะมีกลุ่มคนที่มาสอนเพื่อที่จะยกระดับตัวเอง คือใช้ความเป็นอาจารย์เพื่อเข้าหาทุน เพื่อจะได้เรียนต่อ แต่ส่วนตัวไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูแม้แต่น้อย พอจบมาก็เอาแต่ทำงานนอก สอนเด็กแบบ Minimum มาถึงไ่ม่เตรียมตัวสอน เอาแต่ด่าเด็กเป็นหลัก<br /><br />แต่อาจารย์ที่ผมเจอที่มหาสารคาม นั้นตรงกันข้าม อาจารย์เหล่านี้มีจิตวิญญาณของความเป็นครูจริงๆ คือจะสอนเด็กแบบเขี้ยวเข็ญ ตามเด็กมาส่งงาน ทำอะไรก็ได้ให้เด็กได้ดี ผมจำ detail เล็กๆ ได้คือตอนที่ผมกำลังสอน มีเด็กคนหนึ่งเอา magazine ขึ้นมาอ่าน อาจารย์ถึงขนาดไปตามเก็บมายึดไว้ (เหมือนครูประถม) เพื่อให้เด็กตั้งใจฟัง อาจารย์แต่ละคนที่อยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ รักที่จะอยู่ทั้งสิ้นและจะอยู่ไปอีกนาน<br /><br />ผมคิดไปอีกทีก็นับถืออาจารย์เหล่านี้ ว่ายินยอมเสียสละมาอยู่ในดินแดนกันดาร เพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง 100% โดยมีชีวิตที่ไม่ได้สุขสบายเหมือนที่ๆ เคยอยู่มาก่อน (อาจารยฺ์ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพทั้งสิ้น)<br /><br />แต่ผมก็ต้องคิดผิดอีกที ใครกันที่พูดว่าอีสาน แห่งแล้งกันดาร ไม่จริงครับ<br /><br />อาหารมื้อแรกของผม นั้นเป็นอาหารอีสาน ที่มีทั้งคุณภาพและปริมาณ ปลาที่ผมกิน ตัวขนาดเท่าอ่างล้างมือเล็กๆ ถ้ากินในกรุงเทพ ต้องตัวละเป็นพันแน่ๆ เป็นปลาที่สดเพราะจับจากบ่อ ส้มตำ ปล่าย่าง ปลาทอด ซี่โครงหมูทอด และอาหารอีสานที่ผมจำชื่อไม่ได้หลายชนิด กินกัน 9 คน แทบเป็นแทบตาย เช็คบิลออกมา ตกคนละ 70 กว่าบาท ทำให้รู้ซึ่งเลยว่า อาจารย์พวกนี้ ไม่ได้ลำบากอย่างที่ผมคิด ถ้าเงินเดือนลูกจ้างของรัฐ ในรูปแบบของการออกนอกระบบที่เท่ากันทั้งประเทศในค่าครองชีพแบบนี้ อาจารย์เหล่านี้ความเป็นอยู่ดีมากๆ<br /><br />คิดเทียบกันตรงไปตรงมา ชาเย็นในร้านหรูๆ ที่กรุงเทพ ราคาเฉลี่ยตกอยู่ที่ 45 บาท แต่ที่นี่ 15 บาทครับ<br /><br />ค่าเช่าบ้านของอาจารย์เหล่าี้นี้ ก็ไม่ต้องเสีย มีอาคารหอพักอาจารย์ให้อยู่ เสียเงินเพียง 500 บาท เท่านั้น หมดค่าเช่าบ้านไปอีก<br /><br />รถหรือครับ ไม่ต้องมี รถไม่ติด ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ซักคัน ก็สบายแ้ล้ว อากาศดี เมืองเล็กๆ สงบๆ ไม่มี pollution จากบ้านมาทำงานใช้เวลา 5 นาที มีเวลามานั่งอ่านหนังสือ พัฒนาความสามารถตัวเอง และองค์กรเ็ป็นอย่างมาก<br /><br />ถ้าท่านเบื่อ ก็ไปท่องเที่ยวได้ ไม่ต้องไปเดินห้างแบบกรุงเทพ มหาสารคามเป็นจังหวัดที่เรียกว่าเป็นสะดือ อีสาน คือ อยู่ตรงกลางพิกัดของ ภาคพอดี จะไปที่ไหนก็ 3-4 ชั่วโมงอย่างมาก ขับรถไป ไม่ถึงชั่วโมงก็ กาฬสินธุ์ วนไปอีกทีก็ ขอนแก่นแล้ว แต่ละจังหวัด ก็จะมีอาหารอร่อยๆ และผู้คนที่มีน้ำจิตน้ำใจที่ดี มีที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติมากมาย ถ้าท่านได้ไปอยู่ รับรองว่าแข็งแรงมาก ทั้งจากอากาศ อาหาร และการใช้ชีวิต<br /><br />ถ้าจะเป็นวิทยากรพิเศษ ก็อยู่อย่างราชา ไปถึงที่สนามบินขอนแก่น มีรถมารับ ไปสอนที่คณะ กลางคืนพักโรงแรมตักศิลา สบายมากๆ อยู่กลางเมือง ถ้านับกันในประเทศ ผมให้ สามดาวครึ่ง โรงแรมนี้<br /><br />อินเตอร์เน็ทของมหาวิทยาลัยก็เร็วมาก ไม่แพ้แถวสยามแสควร์<br /><br />สรุปแล้ว สบายครับ ไม่ลำบากเลย<br /><br />ที้นี้นิสิตเป็นอย่างไร ก็อาจจะต้องยอมรับว่า เป็นนิสิตที่อาจจะไ่ม่ไ้ด้รู้ได้เห็นอยู่ใน Trend มากเท่าเด็กกรุงเทพ คือความรู้พื้นฐานอาจจะทันกัน แต่ประสบการณ์อาจจะน้อยกว่า แต่เด็กพวกนี้ ความตั้งใจไม่แพ้แน่นอน และเด็กเหล่านี้มีสัมมาคารวะกับอาจารย์มาก ไม่เหมือนเด็กมหาวิทยาลัยเอกชน “บางแห่ง” ที่ ด่าพ่อล่อแม่กันข้ามหัวอาจารย์ (ผมเจอมาแล้ว) เพราะเขาถือว่า เขาจ่ายเงินมาแพง อาจารย์คือลูกจ้างของเขา<br /><br />เด็กๆที่เรียนอยู่ที่นี่ เป็นเด็กที่มาจากทุกๆ จังหวัดในภาคอีสานทั้งสิ้น จะมีความหลากหลายในเรื่องของถิ่นที่อยู่ แต่จะยังคงมีรากของวัฒนธรรมท้องถิ้นผังลึกมาก ยังมีการไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ มีการใช้ภาษาท้องถิ่้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือยังคงความงดงามของเอกลักษณ์ประจำท้องถิ้นได้เป็นอบ่างดี<br /><br />งาน Project ที่ทำก็จะเป็นงานในภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเมือง การทำแผนให้กับ อบต หรือส่วนราชการของจังหวัด<br /><br />สรุปก็คือ อาจจะไม่ใช้มหาวิทยาลัยที่เจริญก้าวหน้าอย่างฟู่ฟ่า อลังการ หรือไม่ได้ผลิตเด็กที่เก่งเป็น top class ของประเทศ แต่เป็นที่ๆ ถ้าเจริญก็น่าจะเจริญอย่างยั่งยืนได้ และ่ก่อให้เกิดความเจริญที่เหมาะสมกับศักยภาพของท้องถิ่นได้<br /><br />สถาปนิกท่านใดที่มีความรู้ความสามารถ อยากจะแบ่งปันให้กับเด็กเหล่านี้ ก็ลองสมัครเป็นอาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษได้นะครับ กินอยู่ เดินทาง ฟรี ติดต่อไปได้ที่ ท่านอาจารย์ มณี พานิชการ คณะบดี ได้ที่ 0-4375-4381 หรือ fax 0-4375-4382 ส่ง Resume ไปเลยครับ แล้วบอกไปเลยว่าอยากสอนวิชาอะไร<br /><br />เรื่องใหญ่ที่สุดคือเรื่องความอยากสอนนะครับ สำหรับสถาปนิกทุกท่าน ความรู้ เราทุกคนพอมี แต่ใจที่อยากจะให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่ารอให้เขามาเชิญท่านเลยครับ เสนอตัวไปเลย อย่างผมนี่ก็ ได้เจออาจารย์มณี ในงานที่กรุงเทพ ผมก็บอกว่า ผมยินดีที่จะสอน ให้ผมได้เมื่อไหร่ก็ได้ เขาก็ส่งจดหมายมาเชิญผมไป<br /><br />มาช่วยๆ กันกระจายความรู้ที่เรามีเพื่อวิชาชีพของเรานะครับ</p><div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-34862580751620536102007-01-14T12:06:00.000-08:002007-01-14T12:08:01.295-08:00เกี่ยวกับ Boutique HotelBoutique Hotel อาจจะฟังดูเหมือนประเภทของโรงแรม แต่จริงๆ แล้วเป็นแนวทางในการตกแต่างหรือสร้างเอกลักษณ์ใน Space และการ Presentation ใหักับผู้ที่เขามาพักหรือเข้ามาใช้พื้นที่ในโรงแรมมากกว่า ไม่ใช่ประเภทของการใช้สอย<br /><br />ต้องระวังเหมือนกันใน ปัจจุบันมีโรงแรมที่ ยกตนเองหรือเรียกตัวเองเป็น Boutique เยอะมาก บางโรงแรมถึงกับ ตั้งเป็นชื่อของโรงแรมหรือชื่อของ Chain เลยด้วยซ้ำ โดยบางเจ้าแค่น้ำ Fixture หรือ Furniture เดิ้นๆ มาจัด ก็เรียกตัวเองว่าเป็น Boutique แล้ว โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตัว space จริงๆ แต่อย่างใด อันนั้นไม่ใช่แน่ๆ<br /><br />โดยส่วนตัว ที่บริษัททำงานออกแบบโรงแรมเป็นหลักนั้น Boutique Hotel โดยเฉพาที่มีการ Renovate มาจากตึกเก่า จะต้องมี การเปลี่ยนแปลงอย่างมาก (Radical Change) ในส่วนของงานสถาปัตยกรรม ไม่ใช่แค่ส่วนของ Interior เช่น Fixture, Furniture และ Equipment เท่านั้น<br /><br />ตัวอย่างของ Boutique Hotel ระดับโลก มีดังนี้<br /><br />The Standards – Los Angeles, California<br />Hudson Hotel – New York, New York ซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของ Chain ที่ชื่อ Morgan’s<br />‘W’ Hotel Chain – เป็น Boutique Chain อันแรกของโลก<br /><br />โรงแรมทั้งหมดนี้ บรรยากาศเมื่อท่านได้เข้าไปจะเหมือนไม่รู้สึกว่าอยู่ในโรงแรม แต่รู้สึกว่าเหมือนเข้าไปใน สถาณที่ๆมีความตื่นเต้น เหมือนกัน Bar หรือ Lounge เป็นสถาณที่เที่ยวกลางคืนมากกว่าเพราะความแปลกตาของมัน<br /><br />แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ว่า Boutique ทุกแห่งจะเหมือน Bar ไปหมด อาจจะเป็นบรรยาการศที่สงบ และเป็น ธรรมชาติของ Zen ได้เช่น The Hempel ที่ London แต่ก็ยังมีความเด็ดขาดของ Design มากกว่าโรงแรมทั่วๆไป<br /><br />บางโรงแรมอาจจะไม่ Design จัดมาก แต่จะมีของเล่น พิเศษ ที่ไม่เหมือนใครให้ เช่น บางโรงแรมมี ปลาทองให้เลี้ยง บางโรงแรมที่ทางใต้ของอเมริกา มีการทำพิธี วูดู ใน ล๊อบบี้ คือเป็นบรรยากาศที่ แปลก<br /><br />ในประเทศไทยที่รู้สึกว่าเป็น ความพยายามที่จะทำก็คือ D2 ของ เครือ Dusit ของหาดูนะครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-60614343852995103472007-01-13T00:47:00.000-08:002007-01-13T00:49:28.961-08:00nanotechnology in construction industry<p>ความคิดเห็นที่ 1 โดย: ดร.พร วิรุฬห์รักษ์ วันที่ ( 03 Nov 2005 09:51:13 ) </p><p><br />Mies เคยบอกว่า God is in Detail - ผมก็สงสัยเหมือนกันละครับในกรณีที่เป็น detail ระดับที่ตาเรามองไม่เห็น คนงานก่อสร้างวัดไม่ได้นี่ มันจะเกี่ยวอะไรกับพวกเราบ้าง </p><p>อย่างในกรณี วงการสาธารณสุขนี่ ความเป็นความตายมันอยู่ใน สเกล เล็กๆ แบบนั้นจริงๆ แต่อย่างของเรานี่ เราสร้างและทำทุกอย่างมาจากสิ่งที่เราจับต้องได้ เราอาจจะต้องไปอยู่ใน กลุ่ม Construction Material หรือเปล่าครับ? โดยเฉพาะวัสดุที่ไม่เป็นพิษ ย่อยสลายได้ กลับมาสร้างใหม่ได้ 100 % "โดยไม่ต้องเสียพลังงาน เพื่อการแปรรูปเลย" พอได้ไหมครับ? เหมือนเอาดินน้ำมัน มาทำให้แข็งเป็นหิน แล้วพอจะเอาออกก็ปรับออก นุ่มใหม่ เอามาปรับรูป เข้าแบบ สร้างได้อีก (จินตนาการมากไปหรือเปล่านี่)</p><p>แต่อยากให้ทำมากๆ เลยครับ เอาใจช่วย น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แล้วเอามาให้อ่านเป็นวิทยาทานบ้างนะครับ</p><div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-88861241078520971022007-01-12T23:38:00.000-08:002007-01-12T23:42:13.030-08:00ความหมายของ "ศูนย์ศิลปะ"<p>ถ้าศูนย์ ศิลปะที่ว่า คือ Arts Center ใน Sense ของภาษาอังกฤษ นั้น ความหมายจะกว้างกว่าที่คุณ Artist_in กล่าวถึงมาก เพราะ คำว่า ศิลปะนั้น จะรวมไปถึง Dance, Music, Film, Product หรือแม้แต่ Architecture เองก็ด้วยเหมือนกัน ส่วนในเรื่องกิจกรรมก็จะมีตั้งแต่ การแสดงงาน (performing arts) นิทรรศการ (exhibition) และแน่นอนคือการสอน (Classes) การจัดงาน ดังนั้น ถ้า คุณ Artist สนใจจะทำ Arts Center ในลักษณะ ความเข้าใจของสากล จริงๆ จะเป็นโครงการที่ซับซ้อนมาก และเป็น thesis ชั้นดีได้ สบายๆ แต่คงจะเหนื่อยเหมือนกัน เพราะ Function จะมหาศาลมาก</p><p>ถ้าอยากดูเรื่องกิจกรรมดีๆ ต้องดู web ของ Walker Arts Center ที่เมือง Minneapolis รัฐ Minnesota <a href="http://www.walkerart.org/index.wac">http://www.walkerart.org/index.wac</a></p><p>แต่ถ้าความหมายที่คุณ Artist_in ได้กล่าวไปว่าเป็น งานศิลปะที่มีการสร้างผลงาน นั้นฟังดูน่าจะใช้ชื่อภาษาอังกฤษ ว่า “Visual Arts” Center จะดีกว่า เพราะจะ Scope ลงมาเยอะ ตัดพวก Dance Film Music ออกไปหมด กลายเป็น “ศูนย์ทัศนะศิลป์ศึกษา”(ฟังดูเหมือนจะเน้นเรื่องการศึกษา) ทำนองนี้จะเห็นด้วยหรือไม่ครับ เพราะยังไงก็ต้องให้เจ้าของ Thesis เป็นคนตัดสินใจ ระบบการบริหาร ของโครงการเป็นไปได้หลายแบบ แต่ต้องคิดเรื่องนี้ด้วยเพราะมันจะมี ผลกับ Space ต้องถามว่า ใครเป็นเจ้าของ เช่น ถ้า มหาวิทยาลัย เป็นเจ้าของ ก็จะเน้นการศึกษามาก ถ้า นคร หรือ City เป็นเจ้าของอาจจะเน้น work Shop มาก และแน่นอนว่า ถ้า Private Organization เป็นเจ้าของก็ต้องเน้น Exhibition แล้วก็ การขายของ หรือ ขาย Class คือ ตัว Program และการจัดการ จะต่างกันสิ้นเชิง </p><p>ถ้าจะดู Web ก็มี Iris & B. Gerald Cantor Center for Visual Arts อยู่ที่ มหาวิทยาลัย Stanford http://museum.stanford.edu/</p><div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1168620262103178992007-01-12T08:43:00.000-08:002007-01-12T08:44:22.226-08:00การออกแบบที่ดี<p>การออกแบบที่ดีคือออกแบบให้: </p><p>1. ใช้การได้ ไฟเปิดติด ชักโครกกดลง น้ำไหล แอร์เย็น </p><p>2. คนที่เข้ามาใช้อาคาร ไม่เสียชีวิต ไม่เจ็บตัว ไม่เสียสุขภาพ </p><p>3. ให้คนที่ลงทุนสร้างอาคารรู้สึกคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป</p><p>ซึ่งถ้า สรุปทั้งสามข้อ มันก็กลับไปที่ Basic ของ Virtuvious ว่า คุณสมบัติ ของสถาปัตยกรรมคือ Commodity (ใช้การได้) Firmness (ทนทาน ไม่เกิดพิษภัย) แล้วก็ Delight (ความพึงพอใจ)สถาปนิกที่เก่ง ก็คือคนที่ทำได้ครบทั้งสามอย่างที่ว่า </p><p>จบ</p><div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1168619591553478562007-01-12T08:32:00.000-08:002007-01-12T08:33:11.683-08:00สิ่งที่สถาปนิกควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์<a href="http://www.asa.or.th/download/journal/4808/4808132.pdf">http://www.asa.or.th/download/journal/4808/4808132.pdf</a><div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1168619363189261752007-01-12T08:26:00.000-08:002007-01-12T08:29:23.430-08:00Quote: Answer to Earth Quake Question from K.Siem (ASA web)ความคิดเห็นที่ 8 โดย: seim (willy) วันที่ ( 16 Dec 2006 03:29:38 )<br /><br /><em>"อ่านเจอในตำรามาตั้งแต่ตอนเรียนว่า อาคารโบราณของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีแผ่นดินไหวอยู่เรื่อยๆ มีการออกแบบที่ดีและเหมาะสม เพราะ joint สามารถยืดหยุ่นได้ และไม่มีการยึดติด แต่ใช้เดือยไม้ (ลักษณะน่าจะเหมือนเรือนไทยบ้านเราๆ)แต่ความรู้จากอีกเล่ม บอกว่าอาคารของ Ando ที่เป็นก้อนคอนกรีต Rigid แข็งเป้กทั้งก้อน เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวอย่างญี่ปุ่นมากๆ.....ผมเลยงง (มานานแล้ว) ว่าตกลงอาคารที่ยอมให้ส่วนของอาคารขยับได้ หรือ เป็นก้อนแข็งริจิด ถึงจะเหมาะกับการป้องกันความเสียหายจากแผ่นดินไหวได้มากกว่ากันไม่ทราบว่ามี ผู้รู้ ท่านใด ช่วยไขปริศนาให้ ผู้ไม่รู้ อย่างผมให้ทีได้ไหมครับ..?"</em><br /><br />คือ อย่างนี้ครับ คุณ Seim<br /><br />ถ้าว่ากันตามวัสดุแล้ว โครงสร้างที่ใช้กันทุกวันนี้ก็มี สามอย่างคือ ไม้ เหล็ก แล้วก็ คอนกรีต (เสริมเหล้ก) ที่ใช้กันมากทีสุด<br /><br />บ้านญี่ปุ่นสมัยก่อนที่เป็นโครงไม้ ทำเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่น พัฒนามาเป็นพันๆ ปีนั้น ไม่ได้มีการใช้ตะปู แต่เป็นการเข้าไม้ ดังนั้น วิธีการรับมือกับแผ่นดินไหว จึงเป็นรูปแบบของ การทำ Joint หรือข้อต่อให้ Flexible เวลาที่แผ่นดินไหว ลักษณะมาเป็นคลื่นบนดินนั้น Member ของโครงสร้าง เช่น เสา หรือ คาน สามารถ เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ หรือ “ดิ้นได้” โดยที่ Joint ไม่ได้ยึดติดกัน อาคารมันก็เลยไม่พัง อาจจะมีความเสียหายในเรื่องของ กระเบื้อง ประตู หน้าต่างบ้าง แต่ โครงสร้างไม่เป็นไร (ในกรณี แผ่นดินไหวเล็กน้อยนะครับ) หรืออย่างน้อยก็รักษาบ้านไว้ได้นานพอที่จะให้คนกระโดดออกจากบ้านนั่นล่ะถ้าแผ่นดินไหวแรงมาก<br /><br />ต่อมา ในกรณีของ พิพิธภัณฑ์ ท่าน Ando นั้น ผมเองแม้จะไม่มีข้อมูล แต่จากที่เคยได้ มีส่วนร่วม เล้กน้อย ในการทำโครงการที่เคยตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่นมา อยากจะขอสันนิษฐานว่า อาคารของ Ando นั้นน่าจะเป็นโครงสร้าง Concrete เสริมเหล็ก ซึ่งแน่นอนว่า ธรรมชาติของระบบโครงสร้างนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับไม้ เพราะตัวโครงสร้างมีการหล่อให้เชิ่อมต่อกันหมด ดังนั้นวิธีการรับมือกับแผ่นดินไหวก็คือ มีการสร้าง Plate หรือ แผ่นฐานราก ซึ่งตั้งอยู่บน Spring ซึ่งก็ตั้องอยู่บน เสาเข็มที่แผ่กกระจายอยู่ทั้ง site Plate ตัวนี้ จะทำหน้าที่รับแรงกระทำด้านข้างโดยตรง โดยหากมีแรงสั่นสะเทือนเป็นคลื่นบนดินมา ก็จะทำให้อาคารสั่นไปพร้อมๆ กัน ในทิศทางเดียวกันทุกๆ ส่วน ถ้าจะเปรียบเทียบแล้วก็ให้ลองคิดถึง กล่องสบู่ ตัวกล่องคือ Plate หรือแผ่นฐานราก แล้วสบู่คือตัวอาคาร เวลาเราเขย่า สบู่ก็สั่นไปทั้งก้อนนะครับ แต่จะอยู่ในกรอบของการรับมือของกล่องสบู่ไม่ให้พัง ที่เปรียบเทียบเป้นกล่องสบู่ นั้นบางคนอาจจะไม่เห็นด้วย เพราะแผ่นฐานรากออกจะแบน แต่กล่องสบู่นั้นเป็นกล่อง แต่บางกรณีถ้าอาคารตั้งอยู่บนที่ดินที่เป็นเนิน หรือ slope ก็อาจจะต้องมีการสร้างกำแพงเพิ่ม หรือเป็น Shear Wall ที่ เชื่อมต่อกับ Plate ดังกล่าวเหมือนกัน ซึ่งสำหรับ อาคารพิพิธภัณฑ์ของ ท่าน Ando ผมคิดว่าเป็นอาคารที่ไม่สูงมาก ยิ่งถ้ามี เสาหรือผนังส่วนใหญ่เป็น คอนกรีต ยิ่งทำให้ วิธีการใช้ Plateพวกนี้มีประสิทธิภาพากขึ้นไปอีก<br /><br />ทีนี้ มันจะมีปัญหาเวลาที่ท่านทำตึกสูงในญี่ปุ่นนี่ละครับ ที่จะเริ่มยุ่งล่ะ และต้องเอาหลายวิธีมากๆ มาผสมกัน เดี๋ยวขอพักผ่อนก่อนวันนี้ แล้วจะเล่าให้ฟังต่อนะครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1150422869591064512006-06-15T18:51:00.000-07:002006-06-15T18:54:29.770-07:00ASA Internet Radioจะเป็นไปได้มั้ยครับที่<br /><br />สมาคมจะมีสถานีวิทยุ online ที่จะมาจัดรายการคุยกันเรื่องเกี่ยวกับวิชาชีพ ตั้งแต่เรื่อง trend เรื่อง ธุรกิจ เรื่อง ตลก เบาสมองในวงการใกล้เคียงกับเรา เรื่อง เกี่ยวกับ สาระต่างๆ ในต่างประเทศทุกๆ ประเทศ (สมาชิกของเรามีอยู่ทั่วโลก) โทรกันเข้ามา คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันสดๆ นอกจากนี้ยังเชิญ แขกพิเศษทั้งนอก และในวงการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาชีพของเรา เข้ามาคุยกันได้ แบบยาวๆ มีคนโทรเข้ามาถามคำถามได้ น่าจะเป็นรายการที่เป็นสาระเป็นส่วนใหญ่ มีเบาๆ สมองบ้าง แต่จะมีบันเทิงเป็นส่วนน้อย (จะไม่มีเลยก็คงไม่ได้ เพราะเราเป็นพวก สุนทรีย์ และสถาปัตยกรรมก็เกี่ยวข้องกับหลายๆ มุมในชีวิตธรรมดาทั่วๆ ไป (Lifestyle) เป็นอย่างมาก) ในด้านวิชาการ ก็จะเป็นที่ๆ ให้เด็กที่เรียนสถาปัตยกรรมทั่วประเทศไทย ส่งคำถามเข้ามาถามได้ จะมีผู้เชี่ยวชาญมาตอบ จะเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เท่ากันมากขึ้น ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน อาจจะมีการจัดประกวดแบบย่อย โดยสถานีวิทยุก็ได้<br /><br />ผมว่าคนที่สนใจน่าจะมาคุยกัน ทีมที่น่าจะมาช่วยกันได้ ก็มีหลายๆ คน ท่านที่เป็นอาจารย์ พิเศษต่างๆ ที่ชอบสอนหนังสือ แต่อาจจะไม่มีเวลาเดินทางก็น่าจะใช้ Channel นี้ได้ เช่นพี่ยอดเยี่ยมก็จะได้คุยเรื่อง FTA อาจารย์เกชา ก็มาสอนเรื่อง งานระบบอาคารที่สถาปนิกควรรู้ อาจารย์อ๊อตโต้ สอนเรื่องวัสดุและเรื่องการก่อสร้าง<br /><br />เวลาจะสอบ กส ก็เอาปรมาจารย์ มานั่งติวกันทาง วิทยุได้ และท่านที่อยู่ใน กระทู้ “รสนิยมสถาปนิก” ท่านเหล่านี้มีมุมมองเรื่อง Life Style ที่น่าสนใจมาก ส่วนผมเองก็ Contribute เรื่อง Trend และ เนื้อหาจากต่างประเทศได้ หรือถ้าจะแปลงานเขียนที่น่าสนใจก็จะได้อ่านแล้วพูดไปเลย จะเร็วกว่ามากที่จะเขียนแปล เป็นเดือน กว่าจะเสร็จ เพื่อนผมที่ทำงานในประเทศจีนบางคนก็อาจจะนำมุมมอง เรื่องความเป็นไปได้ของตลาดของการออกแบบในประเทศจีน น่าจะมานั่งคุยกัน รับรองได้ว่ามีเรื่องคุยกันไม่จบไม่สิ้นแน่ๆ<br /><br />ใครมี Idea อะไรลองมา Brain Storm กันหน่อยสิครับ เผือจะเอาไปเสนอ สมาคมให้เป็นโครงการจริงได้<br /><br />เท่าที่ผมดูคือ เทคโนโลยีมันไม่น่าแพงมาก การลงทุนที่ต้องใช้ กับประโยชน์ที่น่าจะได้มันมหาศาล แต่แน่นอน ว่าเราต้องมีกรอบนโยบายชัดเจน มีคณะกรรรมการควบคุมการใช้ และไม่อยากให้มี Sponsor อะไรทั้งสิ้น เพราะเกิดฟลุ้ค มีสถาปนิกฟังมากขึ้นมาก็จะมี access เข้ามามหาศาล กรรมการก็จะถูก approach เป็นที่ครหาอีก (มีเงินที่ไหนมีข่าวอื้อฉาวที่นั่น) หรือถ้าจำเป็นต้องมีจริงๆ ก็ต้องมีกฏกติกาการคัดเลือกที่เป็นธรรมมากๆ และทุกอย่างต้องเปิดเผยให้กับสมาชิก ถ้าจะระดมสมองในที่นี้ ลองคิดตารางเวลาเป็น หนึ่งอาทิตย์ อาทิตย์ละสี่ชั่วโมง รายการ ห้าโมง ถึง สามทุ่มดูก่อนดีมั้ยครับ คือที่ออกแนวนี้เพราะไม่อยากให้รบกวนเวลาทำงาน หรือบางท่านอาจจะคิดอีกอย่างว่า ทำงานสิดี จะได้มีวิชาการ เข้าทางกัน เวลา หลังเลิกงานจะเอาไว้บันเทิงกับดูข่าว ดูละคร ก็ตามใจนะครับ ลองมาคุยกันดู รายการที่ผมนึกออกตอนนี้ ก็น่าจะมีได้ประมาณนี้ นี่คิดเล่นๆ นะครับ<br /><br />1. รายการ Architect and the Gang ตั้งชื่อเล่น มาสนทนาเรื่องปัญหาการทำงานกับ คนอื่นๆ เช่น Consult ทั้งวิศวกร Interior และการทำงานกับผู้รับเหมา การทำงานกับ เจ้าหน้าที่รัฐ<br /><br />2. รายการ Going Global พูดถึงการไปหา project บุกตลาดต่างประเทศ มีตลาดที่ไหนบ้าง จีน อินเดีย เขมร ยุโรป อเมริกา พูดเรื่อง FTA เรื่องกฎการค้าต่างๆ ที่เราควรรู้<br /><br />3. รายการ "ก้าวแรกสู่สถาปัตย์" อันนี้มุ่งสู่ผู้ฟังที่เป็นเด็ก อยากเรียนสถาปัตย์ โดยเฉพาะ<br /><br />4. รายการ "สายตรงจาก......." อันนี้ ใครที่อยู่ต่างประเทศ มีอะไรจะ share ก็เข้ามาเล่นกันเลย ผมอยู่อเมริกา ใครอยู่อังกฤษ ใครอยู่ Singapore มา Share ความคิดกัน<br /><br />5. รายการ "ข่าวสถาปัตย" ประกวดแบบที่ไหน มีอะไรออก มีอะไรสร้างเสร็จ<br /><br />6. รายการ "Life Style" พวกเราเป็นพวกรสนิยมสูงรายได้ต่ำ ก็คือต้องหาอะไรถูกๆ มาทำให้ดูดีๆ จะทำยังไง รายการนี้น่าจะมุ่งไปตรงนั้น<br /><br />7. รายการ ปูชนียบุคคล - พี่ยอดเยี่ยมเคยบอกว่า เด็กสมัยใหม่รู้ Know how เยอะ แต่ Know who น้อยมาก การที่เราจะเชิญผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการ เล่าให้ฟังถึงการพัฒนาสถาปัตยกรรมในอดีต มาจนถึงปัจจุบันก็เท่ากับเป็นการเรียสถาปัตยกรรมแบบ post modern กลายๆ เลย<br /><br />8 รายการ Young blood อันนี้ เป็นพื้นที่ของนิสิต นักศึกษาสถาปัตย์ เชิญ เด็กที่ชนะ ประกวดแบบ อะไรที่ไหน รุ่นใหม่ๆ ที่อยากแจ้งเกิด มาออก หรือจะเป็นกิจกรรมคณะก็ได้<br /><br />9. รายการหมอบ้าน " คราวนี้ Convert มาไว้ช่องนี้เลย" มุงไปที่ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ต้องรองานอาษาแล้ว มาที่นี่เลย จะได้ทำให้ อาจารย์เชี่ยวตกงานได้ซะที<br /><br />10. รายการ "Knowledge 360" ความรู้ ทางสังคมที่ไม่เกี่ยวกับสถาปนิกโดยตรง แต่ศาสตร์ของเรากว้างมาก น่าจะเป้นรายการเบ็คเตล็ด เชิญบุคคลสำคัญในประเทศมาออก ให้ความรู้ในสาขาอื่นๆ ที่กว้างขวางมากขึ้น เช่น ทนายความ แพทย์ ครู และอื่นๆ<br /><br />11. รายการ Computer Tech อันนี้ให้ คุณ K9 ไปเลย แต่ช่วนหาคนแปลไทยเป็นไทยมาทำรายการร่วมด้วย<br /><br />12. รายการที่น่าจะสำคัญที่สุด "Financial Architect" สอนสถาปนิกเรื่องการเงิน การจัดการธุรกิจ การบริหาร การตลาด น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับ Freelance และคนที่อยากจะเปิด office เอง<br /><br />13. "สถาปนิกช่วยสถาปนิก" ให้เป็นที่ระบายอารมณ์ คุยเรื่องอะไรก็ได้ กลุ้มใจอะไร เรื่องอะไร การงาน ชีวิตส่วนตัว มาแก้ปัญหากัน หรืออะไรแนวนี้ อันนี้คิดเล่นๆ นะครับ อย่างที่เห็นว่า คงต้องใช้กำลังคนมหาศาล และรายการน่าจะเป็น อาทิตย์ละครั้ง หรือาทิตย์เว้นอาทิตย์ งบประมาณก็คง ต้องมาจากสมาคม อันนี้ หลายท่านอาจจะบอกว่า เออ งั้นก็คงต้องมี sponser แน่ๆ ก็ ต้องลองมาดูความเป็นไปได้กันครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1150421783802359302006-06-15T18:33:00.000-07:002006-06-15T18:43:45.110-07:00บทความแปล: "Warchitecture" by Rem Koolhaasแปลจาก International Institute of Asian Studies Newsletter ฉบับที่ 39 – ธันวาคม ปี 2005<br />(คำนำโดย บรรณาธิการ)<br /><br />ใน การประชุม ของ International Institute of Asian Studies (IIAS) ที่ประเทศ Netherlands การบรรยายหลักของคน เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนนั้น เป็นของ Rem Koolhaas สถาปนิกชาวดัชท์ ที่มีชือเสียงระดับโลก เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Harvard เป็น ผู้ก่อตั้งสำนักงาน Office of Metropolitan Architecture (OMA) และ AMO (ไม่แน่ใจว่าย่อมาจาก Architecture Media Organization หรือเปล่า – ใครทราบช่วย Confirm ด้วยครับ – ดร.พร) ซึ่งทั้งสองเป็น เหมือนกับ สมองกล หรือที่มาของ idea อันบรรเจิดมากมาย โครงการที่ Rem Koolhaas ออกแบบตัวอย่างเช่น Kunsthal แห่งเมือง Rotterdam, Guggenheim Museum แห่งเมือง Las Vegas สหรัฐอเมริกา, Prada Boutique แห่ง Soho ณ กรุงนิวยอร์ค, Casa a Musica แห่ง Porto ประเทศ โปรตุเกส, Seattle Public Library ที่เมือง Seattle สหรัฐอเมริกา และ แน่นอน สำนักงานใหญ่ สถานีโทรทัศน์ CCTV แห่ง กรุงปักกิ่ง งานเขียนของเขาก็มีตั้งแต่ Delirious New York, a retroactive manifesto (1978) จนถึง S,M,L,XL ที่หน้าถึง 1500 หน้า (1995), Great Leap Forward (2002) และ Harvard Design School Guide to Shopping (2002) และล่าสุดคือ Content (2005) โดย ใน Newsletter ฉบับนี้ เราได้พยายามค้นหาว่า ทำไม Rem Koolhaas ในหนังสือเล่มล่าสุด ถึงได้พยายามพาพวกเราไปค้าหาโลกตะัวันออก (ใช้คำว่า Go East – ดร.พร) ทำไมเขาจึงมีความประทับใจมาจนชั่วชีวิตกับเมืองในเอเชีย ทำไมเลือดของเขาถึงได้สูบฉีดเวลาที่พูดถึงโลกตะวันออก ทำไม OMA ถึงได้พัฒนาความสนใจและมาตรฐานในการที่จะอนุรักษ์เมืองเก่าในกรุงปักกิ่งเอาไว้ และสิ่งที่อาจจะสำคัญที่สุด ทำไมเขาจึงมีแนวคิดที่ว่าสถาปัตยกรรมเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อกับความเป็นอุดมคติได้<br /><br />Rem Koolhaas ที่อ้างตัวว่าเป็น นักสืบสมัครเล่น ได้นำเสนอเนื้อหาของความเปลี่ยนแปลงของ เมืองใน เอเชีย นับตั้งแต่ปี 1930s มาจนถึงปัจจุบัน ทำการวิเคราะห์เรื่องของการเมืองระดับย่อย และผลกระทบของรูปแบบการเมืองเหล่านั้นต่อสภาพแวดล้อมของเมือง โดย Rem ได้ทำการปาฐกถาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ผ่านทางมิติของลัทธิ ฟาซิสม์ ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ และทุนนิยม ซึ่งทั่งสี่เป็น สุดยอดของ แนวความคิดที่เป็นอุดมคติ ที่ได้รับการยอมรับในเอเชียตะวันออก ในช่วง 75 ปี ที่ผ่านมา แต่ Rem ได้ระบุไว้อย่างหนักแน่นว่า ไม่ว่าจะเป็นระบบไหนก็ตาม สิ่งที่ออกมาก็ล้วนเป็น “เผด็จการ” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเ้ป็นเผด็จการซ่อนเร้น หรือเปิดเผย ก็ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่แท้จริงของความเจริญก้าวหน้าของเอเชียตะวันออกเท่านั้น<br /><br />จากการศึกษา Rem Koolhaas จะได้ทำการแสดงในสอง กรณีศึกษาหลัก ได้แก่ กรณีของ จีน และ กรณีของ ญี่ปุ่น ว่ารัฐบาลของทั้งสองประเทศ ได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบเืมืองไปได้อย่างไร (ใช้คำว่า Reform) แต่ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปในทิศทางไหน แนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมนั้นๆ ก็จะยังไม่ได้เลือนหายไปจากระบบการใช้ชีวิตและการปกครองโดยรวม เช่น ประชาธิปไตยของญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่มีพัฒนาการและมีผลกระทบ (Influences) มาจากการปกครองแบบ ฟาสซิสม์ ที่มีมาก่อนสมัยสงครามโลก เป็นเวลานาน และทุนนิยมที่เป็นอยู่ในประเทศจีน ก็เป็นสิ่งที่มีพัฒนาการและมีผลกระทบ (Influences) มาจากการปกครองแบบ คอมมิวนิสต์ อาจจะออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่มีจุดประสงค์เหมือนกันในเชิงของการพยายามที่จะแก้ปัญหาของสังคมที่เป็นอยู่ ณ ช่วงเวลานั้น แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ อาณาจักรทั้งสองนี้ เป็นมหาอาณาจักรที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเมืองในประเทศทุกๆ ประเทศในเอเชียตะวันออกอย่างใหญ่หลวง (รายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงของ Timeline ก็คือ ญี่ปุ่น ก็กลายสภาพจาก ฟาสซิสม์ มาเป็นประชาธิปไตย โดยการผลัีกดันของ สหรัฐอเมริกา ส่วน จีน ก็กลายสภาพจาก ทุนนิยมประชาธิปไตย (สมัยเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้) มาเป็น คอมมิวนิสต์ ผ่านการผลักดันโดย สหภาพโซเวียต– แต่ก็มีลักษณะการบริหารประเทศและเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ใต้การเมือง คอมมิวนิสต์ แบบปัจจุบัน - การเปลี่ยนแปลงทั้งสองเกิดขึ้นในช่วงเดียวกันคือ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง– ดร.พร)<br /><br />Koolhas เริ่มต้นการพูดด้วยการบรรยายถึงชีวิตในวัยเด็กของเขา เมื่อตอนที่เขาอายุแปดขวบ ครอบครัวของเขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่เมือง จาการ์ตา ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในเมืองที่มีโครงสร้างที่เรียกว่า Kampongs เป็นรูปแบบที่หาได้ทั่วๆ ไปในประเทศอินโดนีเซีย ที่เมืองจาการ์ตานั้น มี Kampongs ที่หนาแน่นที่สุด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขารู้สึกได้ว่า บ้านเมืองในอินโดนีเซียสมัยนั้นมีความเป็น Modern มากกว่า Holland ที่เขาจากมา และสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดที่เขาจำได้อย่างหนึ่งก็คือ คนอินโดนีเซียคิดถึงชาวญี่ปุ่นในครั้งนั้น(อย่างน้อยก็ในช่วงที่ญั่ปุ่นบุกเขามาตอนแรก)ว่า เป็นผู้มาปลดปล่อยพวกเขา<br /><br />คนญี่ปุ่นได้เข้ามาปกครอง และพยายามที่จะสร้างระบบการขนส่ง ที่เรียกว่า Lebensraum ขึ้นมา ซึ่งเหมือนกับที่ คนเยอรมันมี Autobahns โดยสถาปนิกและวิศวกรญี่ปุ่นได้ทำการปรับเปลี่ยรูปแบบเมืองใหม่หมดในดินแดนยึดครอง มีการสร้างถนนใหม่และทางรถไฟ เพื่อทำการเชื่อมต่อเขตที่สร้างใหม่กับเขตเมืองเก่า เราอาจจะมองได้ว่า นี่เป็นเหมือนอาชญากรรมที่คนต่างชาติเข้ามายึดครองแผ่นดินแล้วสร้างอะไรตามใจชอบ แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ สถาปัตยกรรมถูกนำมาใช้ในการประกอบอาชญากรรม มาผสมกันจนแยกไม่ออก ลัทธิฟาสซิสม์ของญี่ปุ่นนั้น เป็นเหมือนคลื่นลูกที่สองของการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมในเอเชีย หลังจากยุคล่าอาณานิคมของยุโรป การขยายตัวของจักรวรรดิญีุ่ปุ่นนั้น อย่างน้อยในทางทฤษฎี็ก็เป็นที่เชื่อถือว่า เป็นการพัฒนามาจากการวางผังแบบใหม่ ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ เปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาทางการออกแบบสถาปัตยกรรมให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และจุดนี้ Koolhaas ได้มาถึงประเด็นสำคัญที่ว่า “สงครามเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่เป็นสิ่งที่เป็นผลบวกต่อวงการสถาปัตยกรรม เป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยรวมเท่าใด เป็นสถาปัตยกรรมที่มาจากความเป็นเผด็จการ (ใช้คำว่า Autocratic) ไม่ได้เคารพสิทธิมนุษยชน โดยที่สถาปนิกได้รับอำนาจอย่างมหาศาลมาจากผู้มีอำนาจเพียงแหล่งเดียว<br /><br />ประเด็นนี้ได้รับการกล่าวไว้ใน หนังสือชื่อ Delirious New York ในปี 1978 โดย Koolhaas บอกว่า “The Grid” ซึ่งเป็น การวางผังเมืองให้ถนนตัดเป็นตาราง ของ ถนนตั้ง 13 เส้น (Avenues) และ ถนนขวาง 156 เส้น (Streets) เป็นสิ่งที่ทำให้เกาะแมนฮัตตัน (Manhattan) มีลักษณะพิเศษอย่างมาก (สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่เคยไป Manhattan ก็อยากจะอธิบายสั้นๆว่า เกาะ Manhattan เป็นส่วนหนึ่งของเมืองชื่อ New York City ที่หลายๆ ท่านอาจจะได้ดูในหนัง Hollywood เป็นเกาะที่เล็กมาก แต่ถูกใช้ประโยชน์ทุกตารางนี้ว และทางใต้ของเกาะที่เป็นบริเวณที่เรียกว่า downtown นั้นก็คือ ที่ตั้งของ World Trade Center ที่ถูกทำลายไปแล้วนั่นเอง-ดร.พร) Koolhaas บอกว่า Grid บนเกาะ Manhattan นี้ เป็นสิ่งที่เป็น การวางแผนที่กล้าหาญที่สุด (most courageous act) ในโลกตะวันตก แต่ก็ไม่ใช่เป็นการกระทำที่ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชากร แต่เป็นการกระทำตามใจของผู้ปกครอง (จริงอยู่ว่า สหรัฐอเมริกามีเป็นประชาธิปไตยมาตลอด แต่โดยการปฎิบัติแล้ว ในยุคโบราณ ผู้ปกครองก็ทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่ฟังเสียงประชาชนเหมือนกัน – ดร.พร) แต่ผลที่ออกมาก็เป็นสิ่งที่ดี<br /><br />อีกตัวอย่างหนึ่งที่ Koolhaas ให้ก็คือ Rotterdam ในประเทศ Holland ที่จะไม่มีทางเป็นเมืองที่เป็นแนวหน้าทางสถาปัตยกรรมของประเทศและของโลกได้เลย ถ้าไม่ถูกนาซีเยอรมัน ถล่มเสียราบคาบในปี 1940 เราคงไม่มีทางปฎิเสธได้ว่า อาณาจักรของการล่าอาณานิคม ไม่ว่าจะยุคสมัยใดนั้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง เด็ดขาด เป็นอย่างมากในเชิงสถาปัตยกรรมและผังเมือง<br /><br />กลับมามองที่ การล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น เราก็เห็นชัดว่ามีกลุ่มสถาปนิกรุ่นเยาว์ที่ได้ประโยชน์จากการที่มีพื้นที่ใหม่เปิดให้ หนึ่งในสถาปนิกรุ่นเยาว์กลุ่มนั้นก้คือ Mr.Kenzo Tange ซึ่งต่อมาเป็นบิดาของ Metabolist Movement ในญี่ปุ่น (จะกล่าวขยายความต่อไป) เป็นกลุ่มสถาปนิกรุ่นใหม่ไฟแรงในเวลาต่อมา ในช่วงหลังสงคราม รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยในญี่ปุ่น ก็จะมีระบบการตัดสินงานประกวดแบบโดยใช้กรรมการที่ลำเอียงสุดขั้ว Koolhaas บอกว่า Kenzo Tange นั้นเป็น “The True Manchurian Candidate” (หลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ชมภาพยนต์ ชื่อนี้เมื่อสองปีที่แล้ว นำแสดงโดย Denzel Washington แต่ความหมายของๆคำๆนี้ คือ บุคคลที่ผ่านการล้างสมองอย่างเป็นระบบจนทำให้เกิดเป็นลักษณะของ อีกหนึ่งบุคลิกภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคนๆนี้ และจะถูกนำออกมาเมื่อถึงเวลาที่ผู้ควบคุมที่ทำการล้างสมองนั้น ต้องการ – ดร.พร) Kenzo Tange เ็ป็นคนที่ยอมรับระบบ Corruption อันใหม่นี้ และทำร่วมมือร่วมใจกับ รัฐบาลใหม่ที่แตกต่างจากรัฐบาลเผด็จการในอดีตในเรื่องของระบบวิธีการได้ และทำให้ญี่ปุ่นได้ทำการประกาศตัวเองเป็นผู้นำในโลกของสถาปัตยกรรมของโลกได้ โดยตัวเขาเองได้รับการสนับสนุนอย่างสุดชีวิตโดยรัฐบาลกลางและนักเขียนหลายๆ คน และทำให้กลุ่ม Metabolist ได้รับการกล่าวขวัญเป็นอย่างมากในปี 1960 ที่ World Design Conference และไปถึงจุดสุดยอดในปี 1970 World Fair ที่ญีั่ปุ่น โดยได้รับการสนับสนุนของ Sony และบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ และงานในครั้งนั้น ทุกอณูในเชิงสถาปัตยกรรมก็รายล้อมรอบอยู่กับ Superstar ชื่อ Kenzo Tange เพียงคนเดียว<br /><br />หลังจากที่ได้เข้าสู่อำนาจในการปกครองประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์ของจีนได้ทำการวางผังเมืองและสร้างเมืองออกมาในรูปแบบที่เหมือนกับ สหภาพโซเวียต สมุดปกแดงของ เหมาเจ๋อตง มีภาพหมู่บ้านที่อยู่ในป่าอันอุดมสมบูรณ์และมีปล่องไฟ ซึ่งปัจจุบันเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปทั้งประเทศตามบ้านนอก สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเด็ดขาด รุนแรงตามสไตล์ของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนประเทศฝั่งซ้ายทั่วไป แต่ยุคที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจริงๆ คือ จีนภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิง “to get rich is glorious” หรือ จะแปลง่ายๆ เป็นไทยว่า ยิ่งรวยยิ่งดี และนั่นก็เป็นคติพจน์ ที่มาจากผู้นำสูงสุด และผลที่ออกมาในตัวภาพพจน์ของเมืองก็คือ การวางผังอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างอย่างรวดเร็วมากซึ่งปัจจุบันเราแทบจะไม่ได้เห็นภาพเก่าๆ จากหนังสือของประธานเหมาอีกแล้ว<br /><br />Koolhaas ได้ทำการศึกษา โครงการ Pearl River Delta ซึ่งเป็น(เขตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมพิเศษ ของประเทศจีนที่ทำขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตในฝั่งจีน และ back up ทางการเงินจากเงินลงทุนจากต่างชาติซึ่งผ่านมาทางฮ่องกง – ดร.พร) ห้าเมือง รวมกับเมืองของฮ่องกง และหมาเ๊ก๊า ซึงปัจจุบัน เมืองทั้งสามประชากร 20 ล้านคน แต่ในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า อาจจะมีเพิ่มเป็น 36 ล้านคน หรือ 40 ล้านคนในอนาคต ซึ่งจะเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก<br /><br />ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นใน Pearl River Delta นั้น Koolhaas บอกว่าเป็นสิ่งที่ ไม่ได้ต่างกับที่เกิดขึ้นในแมนจูเรียเมื่อ 65 ปีที่แล้ว ซึ่งในแมนจูเรียนั้น พื้นที่ถูกกวาดอย่างเรียบวุด โดยไม่สนว่าใครอยู่ตรงนั้น พิ้นที่ธรรมชาติถูกปรับใหม่อย่างเด็ดขาด ไม่ฟังเสียงใคร มีการสร้างถนน ทางด่วน ทางรถไฟ การจัดแบ่งผังเป็นไปในระบบของพรรคคอมมิวนิสต์ การจัดการกับเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวนี้ จริงๆแล้วถ้ามองอีกด้านก็เป็นการพัฒนาอีกขั้นหนึ่งของวิสัยทัศน์ประธานเหมานั่นเอง สิ่งที่แตกต่างกันก็คือปัจจุบันการพัฒนานั้นนำมาซึ่งเงินตราให้กับสมาชิกของพรรคและเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในสมัยก่อนเป็นสิ่งที่ขาด และเงินเหล่านั้นก็ถูกนำมาใช้ซื้อเครื่องมือที่ก้าวหน้าในทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำในสิ่งที่ขวานและเคียวไม่มีทางทำได้ (ขวานและเคียวคือเครื่องหมายของลิทธิคอมมิวนิสต์)<br /><br />JAPANESE MODERNITY: METABOLISM<br /><br />เคนโซ ตังเงะ (1913-2005) เป็นคนที่ไม่ชอบทั้งการที่จะกลับไปสู่วัฒนธรรมดังเกิม แต่ก็ไม่อยากที่จะทำตัวเหมือน International Modern เขาพยายามที่จะหาหนทางใหม่ Kenzo Tange เป็นคนที่มาเป็นแรงบัลดาลใจให้กับ สถาปนิกรุ่นต่อมาเช่น Noriaki Kurokawa และ Tadeo Ando โดยวิธีของ Tange คือการ ใช้สัญลักษณ์ใน สถาปัตยกรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น มาทำการประกอบกันด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ การก้าวกระโดดไปสู่สถาปัตยกรรม modern แนวใหม่ที่เป็นเอกลักษณฺ์เฉพาะตัวของญี่ปุ่นเอง โครงการที่เป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุดโครงการหนึ่ง ได้แก่ Tokyo Bay Area เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นว่าคนเอเชียสามารถที่จะแซงหน้าสิ่งที่ชาวตะวันตกเชื่อว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดของเขาได้ เพราะตัวอย่างที่อลังการสูงสุดในโลกตะวันตกในขณะนั้นคือ New York City ซึ่งเป็นการสร้างบนเกาะมีการรุกเข้าไปในน้ำทะลบ้าง แต่สำหรับโครงการของ Kenzo Tange นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นการ Taming the water (แปลตรงๆว่าทำให้ ผิว“น้ำ”ทะเล ที่เหมือนสัตว์ป่า มาทำให้เชื่อง กลายเป็นสัตว์เลี้ยงได้ – ดร.พร) ซึ่งปัจจุบันโครงการที่จะเปรียบเทียบกันได้ก็คือ โครงการภายใต้วิสัยทัศน์ของประธานาธิบดี ลี กวน ยู เท่านั้นที่จะเข้าใกล้ Metabolism ได้เท่านั้น ซึ่งก็แน่นอนว่า เป็นการปกครองแบบเผด็จการ ภายใต้กฎเหล็กเช่นกันสำหรับประเทศสิงคโปร์<br /><br />(ขอขยายความเรื่อง Tokyo Bay Project หน่อยนะครับ สำหรับ โครงการนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานของลัทธิ Metabolism อย่างสูงสุดเพราะเป็นเรื่องของ “เมือง” โครงการนี้มีการสร้างถนนเป็นโครงข่ายเหมือน กิ่งก้านของต้นไม้ เป็น Freeform และก็จะเป็น Form หลักที่จะ Copy ต่อๆ กันไปเป็น Unit ที่มีการเชื่อมโยงกัน กลายเป็นป่า แต่การออกแบบให้เป้นลักษณะนี้ก็มีปัญหาตามมาหมือนกันเพราะว่า ความต้องการที่จะให้มีความ Complex และมี Character พิเศษในทุกๆ มุมมอง เหมือนกับสิ่งมีชีวิต (ต้องไปดูงานของ Michael Sorkin) แ่ต่ก็ ต้องอยู่ภายใต้กฎของความเรียบง่ายเรื่องงานระบบ เรื่องการจราจร และเรื่อง Hierarchy ของพื้นที่ ตามหลักการออกแบบเืมือง แต่ก็ได้รับการกล่าวชมเชยโดยนักทฤษฎีผังเมืองชื่อดัง Christopher Alexander เมื่อปี 1965 ใน เอกสารชื่อ “A City is not a tree” ซึ่ง Alexander ได้บอกว่า แม้ว่าจะดูซับซ้อนแต่ก็มีหลักการดำเนินงานที่ตรงไปตรงมา แต่ก็วิจารณ์่ว่า Kenzo Tange ไมได้คำนึงถึงเรื่องการเจริญเติบโตมากเท่าที่ควร หลายๆ คนก็เอางานของ Tange เรื่อง เมืองทีมี Form มาจาก ต้นไม้ หรือสิ่งมีชีวิต มาพัฒนาต่อ หนึ่งในนั้นคือ Arata Isosaki อันนี้มาเป็นต้นไม้จริงๆ เลย)<br /><br />CHINESE MODERNITY?<br /><br />สำหรับกรณีของจีนนั้นแตกต่างออกไป โดยในการประชุมครั้งที่ Koolhaas เข้าร่วมนี้ สถาปนิกและนักวิจารณ์ชื่อดังของจีน Zheng Shiling ได้กล่าวว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นได้มุ่งไปสู่สถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่เป็นของตัวเอง การเจริญเติบโตอย่างมหาศาลของอุตสาหกรรมก่อสร้างในจีน ไม่ได้ทำให้เกิดสถาปัตยกรรมจีนแบบใหม่แต่อย่างใด จะเห็นได้ชัดจากตัวอย่างของ โอลิมปิคในปี 2008 ที่จะจัดที่ประเทศจีน นั้น สถาปนิกจากทั่วโลก เช่น Norman Foster, PTW, Herzon & de Meuron ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ แต่ไม่มีสถาปนิกชั้นนำของจีนเข้ามาร่วมเป็นแถวหน้าแต่อย่างใด มีแต่มาเ็ป็นสถาปนิกร่วม (Architect of record) ซึ่งก็หาเหตุผลได้ยากว่าเป็นเพราะอะไร บางคนบอกว่าสถาปนิกจีนเน้นเรื่องปริมาณมากกว่าคุณภาพ แต่เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นเพราะว่า รัฐบาลของจีนมีความตั้งใจอย่างมากที่จะให้จีนยืนเด่นบนแผนที่โลก และการที่จะให้โลกได้ยอมรับ ก็คือการที่จะต้องมีสถาปนิกนานาชาติมาร่วมออกแบบในโครงการนี้ ซึ่ง Zheng ก็ยอมรับอย่างเศร้าใจ<br /><br />CCTV = BIGNESS = REMOLOGY<br /><br />งานชิ้นโบว์แดงของ สำนักงาน OMA ของ Rem Koolhaas นั้น ได้แก่ อาคารสำนักงาน CCTV (China Central Television) หรือ โทรทัศน์กลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเป็นอาคารสูง 230 เมตร มีพื้นที่อาคารประมาณ 360,000 ตารางเมตร เป็นสถาณีที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดในประเทศจีน (มีตั้งแต่รายการที่มีเนื้อหาของรัฐบาล ข่าว และการให้การศึกษาอื่นๆ มีบันเทิง รวมทั้งหมดมี 16 ช่อง รวมทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษ ภาษาสเปญและภาษาฝรั่งเศส – ใครอยากดูอาคารหลังนี้ลองหาดูใน Internet นะครับ) อาคารหลังนี้เป็น การประกอบกันของรูปทรงที่แรงมากที่เป็น volume ยาว ทั้งทางตั้งและทางนอน เป็นโครงการที่ตั้งอยูี่่ในเขตเมืองที่มีอาคารสูงปนอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปตั้งอยู่กลางทุ่งโล่ง เป็นแท่งสูงเสียดฟ้า รูปทรงที่ออกมา Koolhaas ไ้ด้บอกว่า ต้องการที่จะเปลี่ยนความรู้สึกของอาคารสูงที่ส่วนใหญ่ต้องการไปสู่ฟ้า แต่อาคารหลังนี้ให้เหมือนกันหันมาคุ้มครองคนบนพื้นดินบ้าง อันเป็นปรัชญาของโลกตะวันออกอย่างหนึ่ง<br /><br />ในหนังสือ S,M,L,XL นั้น Koolhaas ได้อธิบายเรื่องเกี่ยวกับ คำว่า “ultimate architecture” อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้สถาปัตยกรรมไปสู่จุดที่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ให้ความรู้กับคนในสังคม Koolhaas ได้ให้คำหลักๆว่า “Bigness” โดยเริ่มต้นตั้งแต่ เกือบร้อยปีก่อน ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการปฎิวัติของวงการศิลปะ ที่เรียกว่า “Modernist Revolution” ซึ่งในช่วงนั้นก็มี Picasso, Marinetti และ Joyce ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเน้นรูปทรงบางประการและการสื่อความหมายที่่ลึกซึ่งมากขึ้น เป็น abstract และ symbol มากขึ้น Picasso เน้นเรื่องการวาดภาพแบบ สองมิติที่มีการเหลื่อมกันระหว่าง เส้นสายและสี Joyce เน้นไปในด้านงานเขียนโดยการมุ่งโจมตีหลักการการใช้ภาษาเก่าๆ มีการปรับเปลี่ยน ภาษา สัญลักษณ์ และ งานพิมพ์ Marinetti ซึ่งเรียกว่าเป็นผู้นำของ Italian Futurists ทำการปฎิวัติวงการโดย เน้นเรื่อง การสร้างการเคลื่อนไหว และความรู้สึกของความเร็ว ลงไปใน Form ที่หยุดนิ่ง <br />ด้วยการ Contribute (แปลเป็นไทยได้ไม่ตรงครับ คำนี้) ต่อสังคมของ Mies van der Rohe, Gropius และ Frank Lloyd Wright สถาปัตยกรรม ได้เข้าสู่ยุคของการทดลองหรือ Experiment ซึ่งเป็นยุคที่ Koolhaas ได้จับแยกออกมาเป็น ห้าส่วน; โดยเป็นการค้นหา 1) ในเรื่องการขยายส่วนในการทำซ้ำ (Multiplicity) 2) เรื่องของตัวรูปด้าน (Elevation) 3) ลักษณะของรูปด้าน (Façade) 4) การแยกส่วนของพื้นที่เมือง (Disintegration of Urban Tissue) และ ส่วนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือ 5) จริยธรรมใหม่ ที่ต้องไปมากกว่า กรอบของ ความดีและความเลว หัวข้อทั้งห้าเหล่านี้เป็นการเปิดทางไปสู่ “Bigness” ของ Rem Koolhaas เปรียบเทียบสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ผิดปกติเหล่านี้โดยใช้คำว่า Nietzschean ซี่งหมายถึง มนุษย์ที่ถูกสร้่างขึ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงยีนให้มีความแข็งแกร่ง ฉลาด และมีคุณสมบัติเพรียบพร้อม เหนือมนุษย์ทั่วไป และแก้ปัญหาข้อเสียทั้งหมดของมนุษย์ไป สำหรับในกรณีของ สถาปัตยกรรม ก็คือการไปสู่จุดที่ใหญ่เหนือมนุษย์ ห่างไกลจากความเป็น scale ของมนุษย์ (inhuman quantity) เพราะคนที่สร้างสถาปัตยกรรมชนิดนี้ขึ้นมา มีจุดมุ่งหมายในการที่จะสร้างสถาปัตยกรรมให้ มีลักษณะใหญ่โต มโหฬารดังกล่าว ดังนั้น จะเป็นไปได้มั้ยว่าอาคาร CCTV ที่ Koolhaas ออกแบบนั้นเป็นสิ่งที่จะเป็นผลลบ คำตอบของ Koolhaas ก็คือ ไม่จริง เพราะ Koolhaas สรุปว่า สถาปัตยกรรมนั้น มาคู่กับความเป็น อาชญากรรม (Crime) มาคู่กับความบ้าอำนาจ (Despotic Regime) เพราะนั่นคือหนทางที่มันจะไปสู่ความเป็น Bigness ซึ่ง CCTV ก็เป็นอาคารที่ ใหญ่ที่สุด ในชีวิตการทำงานของ Rem Koolhaas ซึ่งเป็นผลสะท้อนของความเป็น Remology (การศึกษาทาง Rem Koolhaas = Rem + Ology เหมือนกับ Sociology, Biology)<br /><br />Down Fall of The Sky Scraper<br /><br />ประวัติศาสตร์ของอาคารสูงเสียดฟ้า หรือ Skyscraper นั้นเป็นประวัติศาสตร์ที่มีการพัฒนามุ่งไปทางตะวันออก โดยเริ่มต้นมาจากปี 1920 ในมหานคร นิวยอร์ค และชิคาโก และมุ่งไปสู่ยุโรป ไปสู่อัฟริกา และหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองก็ไปสู่เอเชีย ในระหว่างที่ค่อยๆคลืบคลานไปนั้น ประโยชน์ใช้สอย และการสื่อความหมายก็เปลี่ยนไป อาคารสูงระฟ้านั้นถูกใช้เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือของลัทธิทุนนิยมเสมอ แต่ลัทธิทุนนิยมก็ไม่ได้ใช้มันโดยตรง หรือไม่ได้มีอิทธิพลต่อการสร้างให้อาคารสูงเป็นสิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้สูงสุดภายใต้ความเชื่อของลัทธินี้แต่อย่างใด ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แ่ก่อาคาร Seagram ที่มหานครนิวยอร์ค ซึ่งเป็นเครื่องจักรทุนนิยม ทำจากเหล็กกล้าและกระจก เป็นการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างที่ว่างและเวลา (ขอขยายความหน่อยว่า อาคาร Seagram นี้เป็นอาคารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาคารที่มีค่าก่อสร้างต่อพื้นที่แพงที่สุดในโลก สาเหตุเพราะเรื่องการ Set back ที่ Mies Van De Rohe บอกให้ Set ไปทั้งแผง เกิดเป็น Plaza หน้าอาคาร ขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก ในขณะที่อาคารอื่นๆ ใช้วิธี ค่อยๆ set back เป็นขึ้นบันได้ เพื่อจะได้พื้นที่เต็มขั้น Plaza ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้คนเห็นอาคารได้อย่างอลังการแต่ในขณะเดียวกันก็แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวา ตามสไตล์ โมเดิร์น ทีล็อคตัวเองอยู่ในช่วง 60s – 70s จนกระทั่งค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปเป็นทางเท้า ที่มีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้น ต้องไปเปรียบเทียบกับ Rockefeller Sunken Plaza – ตัวอาคารของ Seagram เองนั้นมีการคิดเรื่อง Model ของ Mullion กระจก การปรับพื้นที่ให้ flexible การให้แสงธรรมชาติ เป็น in side out และ out side in ที่ perfect ที่สุดอันหนึ่งของโลก คนที่รู้เรื่อง Mies มากที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จักในที่นี้ คือ คุณศัลยเวทย์ ประเสริฐวิทยาการ ลองให้ท่านมาอธิบายดู) ในขณะเดียวกัน อาคารที่เราเห็นอยู่ในปัจจุุบันนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ กลุ่มอาคารสูงใหม่ของเมืองเซี้ยงไฮ้ เป็นสิ่งที่คิดขึ้นมาส่วนใหญ่เพื่อจุดประสงค์เพียงมิติเดียวคือ เพื่อความเทห์ Oriental Pearl TV Tower เป็นสิ่งที่ชัดมาก เพราะเป็นอาคารที่เป็น กลุ่มรูปทรงที่ดู แปลกตา นักท่องเที่ยวต้องมารุมดู เป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่ แต่ภายในแทบจะไม่มีพื้นที่ใช้สอยที่มีความหมายใดๆ เลย ถ้านี่คืออาคารสูงที่เป็น ผลสะท้อนของเศรษฐกิจ ไปตามกระแสตลาด เป็นเหมือนกับการสนองความอยากตามแต่ตัณหาจะพาไป (Rem Koolhaas ใช้คำว่า Viagra-Potency) สิ่งที่ Koolhaas พยายามทำกับ CCTV ทีออกแบบคือการ ทำลายแนวคิดตรงนี้ลงไป (แนวคิดเดิมๆ Koolhaas ใช้คำว่า Banality) เป็นสิ่งที่ โลก Communist ของจีนที่ดำเนินไปด้วยเชื้อเพลีงของทุนนิยมจะต้องทำการทดลองค้นคว้าต่อไป (Exploration) แต่สรุปแล้ว ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด ไม่มีทางอื่นนอกจากจะต้อง ฆ่าอาคารสูงระฟ้าเท่านั้น (Kill The Skyscraper)<br /><br />WELCOME TO PHOTOSHOPOLIS!<br /><br />ถ้าจะมีสิ่งที่เป็นประเด็นหลักในงานเขียนของ Rem Koolhaas เรื่องที่น่าสนใจก็คือ เรื่องของ “ตรรกะ” ของเมืองในปัจจุบันที่ต่างกับสมัยก่อน เป็น ตรรกะ หรือ Logic ที่เขาหยิบยกมาใช้ตลอด Koolhaas ไม่ได้สนใจการจะสร้างความชัดเจนให้กับสิ่งที่เขานำเสนอ แต่เขาสนใจที่จะให้ผู้ชมตีความสิ่งที่เขาเสนอเอาเอง เขาได้เขียน ประสบการณ์ และมีการนำภาพถ่ายของสัญลักษณ์ หรือสิ่งของต่างๆที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยได้ิยินมาก่อนมาให้กับผู้ชม โดยเนื้อหาก็จะพันไปถึงเรื่องของ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และ สถาปัตยกรรม ซึ่งจะมีการส่งผลมาถึงตัว Form ที่เห็น เป็นผลลัพท์สุดท้าย<br /><br />ถ้าเช่นนั้น อะไรเป็น Influences (ใครช่วยแปลคำว่า Influences หน่อยครับ ไม่ได้แปลว่าผลกระทบ) ที่ทำให้เกิดเมืองสมัยใหม่ในประเทศจีน ตัวอย่างชัดๆ ก็คือ Pearl River Delta, Shanghai และ Beijing เพราะ Koolhaas มักจะทำให้เรามึนงงเสมอด้วย คำถามอันมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เขา ได้พบ ฟัง และรู้สึก มันฟังดูแปลกมั้ยที่ ศูนย์กลางของเมือง (City Center) ของเมือง เสิ่นเจิ้น คือ สนามกอล์ฟ, อะไรคือการกำหนดคำจำกัดความของคำว่าอาคารระฟ้า (Skyscraper) ในเมือง (Urban) ทั้งๆที่ อาคารสิบชั้นในจีนคืออาคารที่สร้างอย่างปกติใน ชานเมือง แล้วอะไรที่ทำให้ รัฐบาลและกลุ่มธุรกิจไม่สนใจผลเสียใดๆ ว่าทางด่วน Wu ซึ่งแพงมาก และแทบไม่ได้แตะพื้นเลย และเป็นทางด่วนที่ไม่ได้มุ่งไปที่ไหนเลย<br /><br />Koolhaas ไม่ได้ตั้งคำถามเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อหาคำตอบ แต่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เกิดสภาวะของแนวคิดในระดับ Conceptual กับสิ่งต่างๆ ที่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่แต่แทบจะไม่ได้ตอบสนองอะไรเลยเหล่านี้ Koolhaas ใช้คำว่า POTEMKIN CORRIDORS หรือ POTEMKIN CITIES (ความหมายของ Potemkin มาจาก คำว่า Potemkin Village หรือหมู่บ้านของ Potemkin ซึ่งเป็นชื่อของ Grigori Alexandrovich Potemkin ขุนนางและนักรบสมัย สมเด็จพระราชินี แคเธอรีนมหาราชแห่งรัสเซีย หลายกระแสบอกว่าเป็น Lover พระองค์ด้วย เป็น โดยครั้งหนึ่งได้ทำการก่อสร้างหมู่บ้านปลอม ท่าเรือปลอม ป้อมปลอม เพื่อให้สมเด็จพระราชีนีเกิดความประทับใจ ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศไทยก็คือการจัดหมู่บ้าน ตกแต่งให้ดูว่าเจริญแล้ว เพื่อรับนักการเมืองหรือรับเสด็จ นั่นเอง หมายถึงการก่อสร้างให้ดูดี แต่เป็นของจอมปลอม ไม่ได้สะท้อนการพัฒนาที่แท้จริง) ประเทศจีนนั้น มีหลายกรณีมากที่เป็นแบบนี้ การเจริญเติบโตที่ไม่ได้เป็นผลสะท้อนมาจากความต้องการที่แท้จริง แต่เหมือนเป็นการสร้างภาพ ทำให้เกิดสูญเสียลักษณะเฉพาะ หรือ itendity ที่เป็นผลสะท้อนทางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ที่แท้จริงของสังคมนั้นๆ เป็นเมืองทีดูธรรมดาๆ เหมือนทั่วๆไปในโลก ไม่สามารถมองดูแล้วบอกได้ว่าที่นี่คือที่ไหน (Generic City) มีเพียงแต่แรงโน้มถ่วงของโลกเท่านั้นทีทำให้อาคารเหล่านี้ยังตั้งอยู่ แต่ไร้แรงทางวัฒนธรรมและสังคม เป็นเมืองที่มีลักษณะทางกายภาพแต่ไร้จิตวิญญาณ (Urban without Urbanity) ดูเหมือนทางรัฐของประเทศจีนจะปฎิเสธความแตกต่างของความเป็นเมือง และชนบทไปหมดแล้ว และความเป็นเมืองก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาจากความรีบเร่งของเวลา มากว่าความต้องการที่จะเข้ามาจัดการพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพแบบการเกิดความเป็นเมืองทั่วๆไปในโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเมืองหนึ่งคือ Zhouhai ที่เป็นเมืองใหม่ในประเทศจีน มีตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่ ในเขตของ Pearl Delta River เขตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการพัฒนาสูงสุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งเป็นเมืองที่ว่างเปล่า ไม่มีพื้นที่สาธารณะ และไม่มีคนอยู่ (อันนี้ไม่ตรงกับข้อมูลของ Website ของรัฐบาลจีนว่า Zouhai เป็นเมืองในฝัน มีการวางผังและจัดระบบการพัฒนาแบบมืออาชีพ และจะเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตสูงมาก เหมาะสำหรับชาวต่างชาติจะย้ายมาเป็นที่อยู่อาศัย และเป็นบ้านที่สองสำหรับนักธุรกิจต่างประเทศ - ลองดูเองว่าจะเชื่อใครนะครับ) แทนที่จะเป็นเมืองจริงๆ กลับกลายเป็นเมืองที่เหมือนกับเมือง เป็น Announcement City หรือเมืองที่ประกาศศักดา เป็นหน้าตาของประเทศ เท่านั้นเอง (กลับไปที่ Potemkin Village ใหม่)<br /><br />Koolhaas ย้ำมากว่า ในระดับของความเร็วที่เกิดขึ้นในการก่อสร้างเมืองใหม่ของรัฐบาลจีนนั้น Shenzhen หรือเสิ่นเจิ้นนั้น แทบจะยังไม่เป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นเมืองที่มีคนมาอยู่เ้ป็นล้านๆ แล้ว เมืองเสิ่นเจิ้นนั้นไม่ใช่กรณีพิเศษ แต่เหมือนกับทุกๆ แห่งในประเทศ เป้นการออกแบบที่ทำบนเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ในบ้านเล็กๆ หรือห้องเล็กๆในครัวของ สถาปนิกเด็กที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ Koolhaas บอกว่า กลุ่มสถาปนิกจีนเหล่านี้เป็นกลุ่มสถาปนิกที่สำคัญที่สุดในโลก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ตอกย้ำความจำเป็นที่สถาปนิกเหล่านี้ต้องมีความเข้าใจต่อ กฎเกณฑ์ของสถาัปัตยกรรม เป็นอย่างมาก (นึำกถึงประเทศไทยสมัย เศรษฐกิจปาฎิหารย์ ก่อนปี 1997 ที่เด็กจบใหม่ได้ออกแบบ Condo สามสิบชั้น แต่ที่นีคือออกแบบเมืองเลย) ถ้าไม่เช่นนั้น จะเป็นปัญหาที่น่ากลัวมากในอนาคต (เพราะเมื่อถึงเวลาทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มเสีย เริ่มเสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั้งประเทศเหมือนกัน)<br /><br />สิ่งที่มีขนาดใหญ่และต้องการความรวดเร็วในการออกแบบเช่น เมืองในประเทศจีนนี้ ไม่สามารถทำให้ออกมาอย่างมีคุณภาพด้วย กระดาษและดินสออีกต่อไป แต่ทุกๆคนก็ต้องหันมาใช้ คอมพิวเตอร์ AutoCAD หรือถ้าดีกว่านั้นคือ PHOTOSHOP ซึ่งเป็น เครื่องมือที่รวมทุกๆอย่างที่คนจะจินตนาการได้เข้ามาในกรอบภาพกรอบเดียว การตัดแปะอาคารสูง 200 เมตร สร้างขึ้นมาภายใน 20 วัน เป็นเรื่องปกติไปแล้ว และการออกแบบด้วยวิธีนี้ทำให้เกิดผลกระทบที่ค่อนข้างน่ากลัวต่อเมือง การตัดและแปะไม่ได้ทำให้เกิดความเป็นเืมืองซึ่งควรจะเป้นการรวมตัวกันของ สไตล์และฟอร์มที่หลากหลาย แต่รวมตัวกันเป็นหนึ่งลักษณะไปในทางเดียวกัน (Koolhaas ใช้คำว่า Melodic Coexistence) เมืองที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วย Photoshop เป็นสิ่งที่ดูดีแต่ยากที่จะเิกิด ความเป็นหนึ่งลักษณะดังกล่าวได้ แต่กลับกลายเป็น ความแตกต่างที่เป็นความวุ่นวายและน่าจะนำไปสู่หายนะ (City of Exacerbated Difference)<br /><br />IS OMA GETTING OLD?<br /><br />Koolhaas ปิดการบรรยายด้วยการยอมรับ ว่าหน่วยงานของเขา (Koolhaas ไม่ใช้คำว่า Office หรือ Company แต่ใช้คำว่า Bureau เหมือนกับความเป็น ราชการที่ทำงานเพื่อสังคม) เริ่่มที่จะทำสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำเลย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เช่น การทำโครงการอนุรักษ์เขตวัฒนธรรมพิเศษในประเทศจีน การตัดสินใจที่ท้าทายมากว่า จตุรัส Hutongs ควรจะกลายเป็นอาคารสูงระฟ้า หรือจะเป็นบ้านโบราณไว้ให้อนาคตของชาติได้เห็น<br /><br />สิ่งที่เป็นปัญหากับระบบการอนุรักษ์คือ คนจะมองว่าเป็นเรื่องของอาคาร เรื่องของรูปร่างหน้าตา น่าเสียดายที่เราไม่สามารถ อนุรักษ์แนวทางการใช้ชีวิตของคนไว้ได้ บ้านเก่าๆ เหล่านี้ ต่อไปก็จะไม่มีใครอยูเพราะสภาพของเมืองจะผลักคนเหล่านี้ออกไป Koolhaas กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการอนุรักษ์น่าจะเป็นทั้งระบบ ไม่ใช่เพียงแต่เปลือก สภาพชีวิตของคนที่อยู่ในอาคารเก่า วิถีชีวิตของพวกเขาจะเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมเห็นความแตกต่าง แต่ไม่ใช่การห้ามการสร้างของใหม่ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ท้าทายมากต่อไปในอนาคต<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1150421506316993102006-06-15T18:30:00.000-07:002006-06-15T18:31:46.606-07:00Theme และ Boutiqueผมยังคิดว่าทั้งสองคำ Link ไปกับอาคารทางด้านโรงแรม เพราะไม่เคยได้ยินว่า โรงพยาบาล โรงเรียน สถาณีตำรวจ หรือ อาคารราชการจะเป็น Theme หรือ Boutique อะไร<br /><br />เท่าที่เคยทำมา คำว่า Theme นั้นเป็นสิ่งที่ คนส่วนใหญ่มี Perception หรือภาพ ในใจอยู่แล้ว เช่น Theme ทะเลใต้ Theme ละครสัตว์ นั่นจะไปเกิดในโรงแรมที่จะมีการจัดไปในทางเดียวกันหมด ตั้งแต่การตกแต่ง เครื่องแบบพนักงาน และ ข้าวของเครื่องใช้ไปในทางเดียวกันหมด การลงทุนมหาศาล ค่า Maintaintenane มหาศาล หลายๆ สิ่งทีทำขึ้นต้องเป็น Custom made คือสั่งทำพิเศษ ดังนั้น ถ้า order เป็น lot เล็กๆ ก็ไม่คุ้ม ซึ่งหมายถึงว่า Theme Resort นั้นจะต้องเป้นโรงแรมที่ใหญ่มากๆ มีเป็นพันห้อง เหมือนเนรมิตให้คนไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่ง ตามลักษณะตลาดนั้น ตอนนี้เบาบางลงไปแล้ว คนกำลังเข้าสู่สไตล์ใหม่ๆ Theme Resort ที่ชัดเจนมากก็อย่างเช่น Venetian แห่งเมือง Las Vegas ก็คือ Theme เป็นเมือง Venice เลย เอา Venice มาตั้งไว้ในทะเลทราย, Caesars Palace แห่งเมือง Las Vegas ก็มี Theme เป็นโรมัน ทหารโรมันเดินไปมาในโรงแรม อะไรแบบนั้น<br /><br />คำว่า Boutique นั้นเป็นอีกเรื่อง คือตอนนี้ใครๆ จะเปิดโรงแรม หา Furniture สวยๆ ทำแสงสลัว แล้วแต่ง Minimal หน่อยก็จะเรียกตัวเองว่าเป็น Boutique แล้ว แต่ในส่วนตัว และเคยได้คุยกับเจ้านายที่ออกแบบโรงแรมมา 30 ปี บอกว่า คำว่า Boutique ถ้าจะให้ Valid จริงๆ ต้องออกมาจากการออกแบบ Space เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใครจริงๆ คือต้องเป็น Structure และ Architecture ไม่ใช่ Skin และ Interior เ่ท่านั้น ว่าง่ายๆ ก็คือ ถ้าไปซื้อตึกเก่า เอาสี Paint แ่ต่งผนัง ทำแสงสวยๆ เอา โซฟา Design แรงๆ มาวาง แต่ห้องเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดา อันนี้ไม่ใช่ แต่ถ้าเข้าไปในห้องพักที่โรงแรม มี อ่างอาบน้ำอยู่กลางห้องเลย หรือมีห้องน้ำไปอยู่ติดหน้าต่าง มีเตียงลอยอยู่เหนือสระน้ำ อะไรแบบนี้คือ Design From the beginning ซึ่งมันไม่เหมือนใคร นี่คือ Boutique<br /><br />แต่อย่างว่า มันไ่ม่ใช่ Legal Term ทุกวันนี้ Chain Hotel ที่ตั้งชื่อตัวเองว่า Boutique ก็ทำโรงแรมออกมา ไม่ได้ มี Design อะไรมากเท่าไหร่ ถ้า Boutique จริงๆ คงจะต้อง Recommend W Hotel Chain ทั้งหมด หรือ Standard Hotel ที่ นคร Los Angeles หรือ โรงแรมที่เป็น Adaptive Reuse ทั้งหลาย เช่นเอา อ่างเก็บน้ำเก่ามาทำโรงแรม เอาโรงงานรถยนต์มาทำเป็นโรงแรม พวกนี้จะได้ความแปลกพิสดาร ไม่เหมือนใคร<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1149136025634308992006-05-31T21:26:00.001-07:002006-05-31T21:28:48.626-07:00ตีความการประกวด Plan-less House ของ Kengo Kumaถ้าว่ากันตรงๆ ก็ คือ ขึ้นคำว่า Plan คือสิ่งที่ อธิบาย Lifestyle หรือแนวทางการใช้ชีวิตของเรา โดยคำที่เป็นความหมายหลักของเรื่องทั้งหมดคือคำว่า division หรือ การแบ่งออกเป็นส่วนๆ ด้วยสิ่งที่เราเรียกว่า “ผนัง” (ผนังแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นส่วนๆ) และแน่นอนว่า ถ้าเราเน้น ผนังหรือกำแพงในแบบแปลนเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่จะเตะตาเรามากที่สุดก็คือตัวผนังที่อยู่บนแปลน ที่เหมือนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับ บ้า่นหลังหนึ่ง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้<br /><br />แต่ถ้ากลับไปถามคำถามง่ายๆ ว่าผนังจำเป็นต้องมีอยู่เป็นตัวแทนของความเป็นบ้านหรือไม่ ทำไมเราไม่สามารถอธิบายความหมายของความเป็นบ้านด้วยลักษณะการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ ? หรือ เครื่องใช้สอยบนโต๊ะ อุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรียบเป็นสองมิติอย่าง วัสดุปูพื้น ซึ่งจริงๆแล้ว วัสดุปูพื้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ มนุษย์สัมผัสโดยตรงเสมอ (แน่นอนว่ารวมทั้ง กลอนประตูและที่รองนั่งในห้องส้วม) ถ้าเราจะมองความเป็นบ้านโดยการกลับมาเปรียบเทียบกับประสาทสัมผัสของตัวเราเป็นหลัก บ้านก็จะกลายเป็นความหลากหลายของพื้นผิวต่างๆแทนที่จะเป็นเรื่องของ space หรือเราจะลองมองในแง่ของความแตกต่างของอุณภูมิที่เกิดขึ้น หรือจะมองในแง่การเคลื่อนที่ของอากาศอันวุ่นวายสับสน<br /><br />สิ่งที่ ทำให้ Kengo Kuma ตั้งคำถามกับความสามัญของผนังก็คือ เขาคิดว่าการที่จะต้องแบ่งชีวิตออกเป็นส่วนๆ ด้วยผนัง แต่แล้วทุกๆสิ่งก็ค่่อยๆ เปลี่ยนไป การแบ่งเป็นส่วนๆ ค่อยๆ เปลี่ยนรูปหรือลดลง ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ หนึ่งในนั้นคือ เทคโนโลยี เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือ การเปลี่ยนแปลที่แทบจะเกิดขึ้นตลอดเวลาของข่าวสารข้อมูลที ทำให้เราเรียรู้ตลอดเวลาจนทำให้ แนวคิดของเราเกิดความไม่หยุดนิ่ง หรือแม้แ่ต่การที่ตัว lifestyle เองหายไปในช่วงเวลาที่คุณกำลังจะสร้างบ้านในผันของคุณ (จะเป็นเพราะงานการยุ่ง มีลูก มีภาระอื่นๆ สิ่่งที่ต้องทำเป็นสิ่งที่ไม่เคยคิด สิ่งที่อยากทำกลับไม่ได้ทำแล้ว ก็เท่ากับว่า Lifestyle เปลี่ยนไป ต้องหาวิธีปรับใหม่) สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของจุดประสงค์ คนที่มีโอกาสที่จะออกแบบบ้าน สร้างบ้านเป็นของตัวเองนั้น มักจะมีจุดประสงค์ที่เป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนใคร และมักจะมากกว่าหนึ่งประการ ถ้ามองกันให้ลึกๆ ถามคำถามให้มากๆ แล้ว จะพบว่า มันเป็นเรื่องของ สิ่งของที่อยู่ในบ้านทุกๆ ชิ้น (ผู้คนบอกว่าอยากมี ทีวีใหญ่ๆ อยากมีตู้ปลา อยากทำกับข้าวให้สนุก อยากให้ลูกมีห้องสมุด อยากมีห้องซ้อมดนตรี) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ พื้นที่ว่างที่ถูกล้อมกรอบ สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ<br /><br />นี่คืดแนวความคิดหลักของการประกวดครั้งนี้ในการที่จะตีความบ้านใหม่ โดยฉีกให้ออกจากเรื่องของการทำผนัง แบ่งส่วน ตามการออกแบบปกติ ถ้าคุณหาเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่เป็นเืรื่องที่เราสัมผัสอยู่ทุกๆ วันในบ้าน แต่คนมักจะมองข้าม นั่นน่าจะเป็น Concept ของคุณ (Kengo Kuma ใช้ตัวอย่างในการอธิบายมากเกินไป สิ่งที่เขาบอกเป็นแนวคิดเจ๋งๆ ทั้งนั้น แต่เท่ากับว่าเขาปิดทางเลือกพวกนั้นหมดแล้ว เพราะเขาบอกออกมาแล้ว คุณต้องคิดให้ลึกกว่านั้นอีก ห้ามถามว่าผมคิดยังไง เพราะถ้าผมบอกคุณตอนนี้ ก็เท่ากับบอก public เดี่ยวจะไป ชี้นำความคิดคุณ)<br /><br />(ที่ตลกที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของ เนื้อหาที่ต้องส่ง หรือ Content เพราะว่า การอธิบาย เนื้อหาการประกวดบรรเจิดมาก แต่เวลาจะเอางานส่ง เล่นเป็นแบบ Project มี Plan (เนื้อหาว่า Plan-less House แต่ดันขอ Plan) รูปด้าน รูปตัด มีDetail มี model อะไรเสร็จ เหมือนกับว่า Practical มากๆ จะเอาไปสร้างจริงๆ ค่อนข้างขัดแย้งกับ คำบรรยายที่ Conceptual มากๆ)<br />ตามสัญญานะครับ ตีให้แล้ว และคิดว่าน่าจะแตก เชิญส่งประกวดซะดีๆ<br /><br />ขอให้โชคดีครับ<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1144049732107329212006-04-03T00:34:00.000-07:002006-04-03T00:35:32.506-07:00Noah, the God has abandoned you.แม้พวกเราหลายคนจะเป็นชาวพุทธ แต่ก็คงจะคุ้นเคยกับเรื่องใน คัมภีร์ Bible ของ โนอาห์ ผู้มีบุญญาธิการ ซึ่งได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า ให้สร้างเรือขนาดใหญ่ ขนสัตว์ อย่างละคู่ขึ้นไปบน เรือ ก่อนที่พระองค์จะบันดาลให้น้ำท่วมโลก อันเป็นการล้างโลกให้สะอาด ปราศจากมลทิน เนื่องจากประชาชนบนโลกนั้นกระทำแต่บาปกรรม ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ อีกต่อไป และหลังจากน้ำท่วมโลกแล้ว Noah และครอบครัวก็คือมนุษย์กลุ่มเดียวที่เหลือ และเป็นบรรพบุรษของมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกในปัจจุบัน (ตามที่ Bible กล่าวไว้)<br /><br />Joke ที่ผมได้มา เป็นผลผลิตของบริษัท Carol Norby & Asociates ที่ขายวัสดุึเยอะมากใน Nevada. (แปลมาแบบงูๆ ปลาๆ ถ้าผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วบครับ) เป็น Joke ที่เกี่ยวกับว่า ถ้า Noah มีชีวิตอยู่ใน America ณ ปี 2002 และได้รับบัญชาจากพระเจ้า ให้ทำอย่างเดิม.... อะไรจะเกิดขึ้น?<br /><br />ณ วันหนึ่ง ที่ปราสาทชานเมืองของ Noah (Noah นอกจากจะเป็นคนดีแล้ว ก็รวยด้วย) ชายชราผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน ทันใดนั้น พระผู้เป็นเจ้า บันดาลให้ท้องฟ้าเป็น ลำแสงส่องมาแสกหน้าของ Noah “Noah” เสียงกังวานก้องมาจากฟ้า “เจ้าจงฟังข้า นับจากวันนี้ ในอีก 1 ปี ข้าจะบันดาลให้ฝนตกทั่วโลก น้ำจะท่วมไปทุกหนแห่งจนมนุษย์ทุกผู้ตายสิ้น ข้าต้องการให้เจ้า สร้างเรือ (ARK) เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีคุณธรรมและให้พ้นจากภัยในครั้งนี้ เจ้าจงน้ำสิ่งมีชีวิตอย่างละคู่ขึ้นเรือด้วย เพื่อหลังจากน้ำท่วมจะได้ให้สัตวฺ์ออกลูกหลาน สร้างโลกใหม่….เอาละ เจ้าจงไปนำ laptop มา” Noah ทำตามคำพระบัญชา วิ่งเข้าบ้านไปเอา Laptop ออกมา ทันใดนั้นพระผู้เป็นเจ้าก็ปล่อยลำแสงไปที่ Laptop เพื่อทำการ Download Spec และ Construction Document ของเรือ Ark เมื่อการ Download เสร้จสิ้น พระผู้เป็นเจ้าก็กล่าวกับ Noah ว่า “จงจำไ้ว้ให้มั่น เจ้าจะต้องสร้างเรือและระดมสิ่งมีชีวิตให้พร้อมภายใน 1 ปี” Noah ด้วยความกลัว ก็ตอบว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าจะกระทำการให้สำเร็จให้จงได้”<br /><br />365 วันต่อมา ท้องฟ้าที่ ปราสาทของ Noah ก็ปรากฎลำแสงออกมาอีกครั้ง ในช่วงเวลากับที่ทั่วโลกเกิดฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ และน้ำได้ท่วมในบางพื้นที่แล้ว แต่สนามหญ้าบ้าน Noah กลับว่างเปล่า มีเพียวชายชราผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม นั่งร้องไห้อยู่<br /><br />“Noah เรือ Ark อยู่ที่ไหน?” พระผู้เป็นเจ้าถาม<br />“ข้าแต่พระบิดา” Noah ตอบด้วยน้ำตานองหน้า “โปรดอภัยให้ข้า ข้าได้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ข้าประสบปัญหามากมายเหลือเกิน” เริ่มแรก ข้าประสบปัญหาในการขออุญาติก่อสร้างกับทางเทศบาลนคร เพราะว่า Spec กับแบบ ของพระบิดาไมถูกต้องตามกฎหมายเลย ข้าจึงต้องไปจ้างสถาปนิกมาแก้แบบ เมื่อแก้แบบเสร็จแล้ว ข้าต้องมีความกับ OHSA (Occupational Safety and Health Administration) เนื่องจากทางกรรมการแนะนำว่า เรือ Ark ควรจะต้องมีระบบ Sprinkler ดับไฟ และระบบลอยน้ำแบบใหม่ ข้าต้องทำตามและต้องใข้ข้าใช้จ่ายมหาศาล<br /><br />พอหลังจากที่การขออนุญาติเสร็จสิ้น เพื่อนบ้านของข้าก็รวมตัวกัน ประกาศว่า การสร้าง เรื่อ Ark ในสนามหน้าบ้านข้า นั้นผิดกฎหมายประเภทของการใช้ที่ดิน (Zoning) ข้าต้องไปขออนุญาติพิเศษจาก แผนกผังเืมือง (Planning Department) ของเทศบาลอีก ใช้เวลาอีกนาน และค่าใช้จ่ายอีกมาก หลังจากนั้นข้าก็พบปัญหาในการหาไม้ เนื่องจาก ทางรัฐบาลยกเลิกการตัดไม้เพื่อรักษาแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยให้สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ข้าต้องไปเจรจา กับกรมป่าไม้ (US Forest Service) ว่าที่ข้าต้องการตัดไม้ ก็เพื่อรักษาสัตว์ป่าเหล่านี้ล่ะ แต่พอข้าได้รับอนุญาติจากกรมป่าไม้แล้ว ทางกรมสัตว์น้ำ และสัตว์ป่า (Fish and Wildlife Department) ก็ไม่ให้ข้าจับสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ก็เป็นอันว่า ข้าไม่สามารถหาสัตว์ป่าและสัตว์น้ำได้เลย<br /><br />ต่อมา กลุ่มสหพันธ์ช่างไม้ก็นัดหยุดงานประท้วง ข้าต้องไปเจรจากับ คณะกรรมการแรงงานแห่งชาติ (National Labor Relations Board) ใช้เงิืนอีกมหาศาล ในที่สุด ข้าก็ได้ ช่างไม้มา 16 คน แล้วการก่อสร้างก็ดำเนินไปได้ ในขณะเดียวกัน ข้าก็พยายามเสาะหาสัตว์ที่ไม่ใช้สัตว์หายาก เช่นสัตว์ฺเลี้ยง หรือสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะจะได้ไม่มีปัญหากับกรมสัตว์ป่าอีก แต่ข้าก็โดนกลุ่ม ผุ้พิทักษ์สิทธิสัตว์ฟ้องร้อง ข้าถูกศาลตัดสินให้จ่ายค่าชดเชยกับสัตว์ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้ขึ้นเรือ ข้าต้องขายทรัพย์สินจำนวนมากเพื่อที่จะจ่ายให้สัตว์เหล่านั้น พอคดีความกับกลุ่มพิทักษ์สัตว์ จบลง ข้าต้องเจอกับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จาก Washingtong DC (Environmental Protection Act) มาที่บ้านข้า และยื่นรายงานให้ข้า แถลงว่า การก่อสร้าง ARK จะดำเนินต่อไปไม่ได้ ถ้าข้าไม่ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้กับรัฐบาลก่อน (Environmental Impact Assessment) นอกจากนี้ยังให้ข้าทำรายงานเกี่ยวกับระดับ และอาณาบริเวณของน้ำที่จะท่วมให้ทางทหารบก (US Army) ทราบด้วย โดยเมื่อข้าไปพบเขา เขาก็ขอแผนที่ว่าน้ำจะท่วมตรงไหนบ้าง เมื่อข้าส่งแผนที่โลกให้ทหารบก ว่าจะท่วมทั้งโลก ทางทหารโกรธมาก หาว่าข้ากวนTeen จับตัวข้าไปสอบสวนเสียหลายวัน และแล้ว วันที่เลวร้ายกว่าก็มาถึง เมื่อทางสรรพากร (IRS = Internal Revenue Service) ทำการยึดทรัพย์สินที่เหลือของข้าทั้งหมด เนื่องจาก ข้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะใช้เรือ Ark หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหลบเลี่ยงภาษี นอกจากนี้ข้ายังได้รับแจ้งจากทางรัฐ อีกว่า ข้าต้องจ่ายภาษีของเรือ ARK เนื่องจากข้าไม่ได้จดทะเบียนให้เป็นพาหนะขนส่งทางน้ำ ข้าต้องจ้างทนายเพื่อต่อสู้คดี แต่แล้ว ท้ายที่สุด สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น โดยทาง ACLU (American Civil Liberties Union) ได้เรียกร้องผ่านทางศาลให้หยุดการก่อสร้าง โดยเด็ดขาดและให้ทำการรื้อถอนโดยทันที เนื่องจากทางศาลได้ตีความว่า การที่พระบิดาจะให้น้ำท่วมโลกนั้น เป็นการปฏิบัติการทางศาสนา ซึ่งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ตอนนเืรือก็คงไม่มีทางเสร็จแน่นอน ภายใน 5-6ปี นี้ พระบิดาได้โปรดยืดเวลาออกไปด้วยเถิด”<br /><br />ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่กำลังเกิดฝนฟ้าคะนองทั่วโลก ก็หยุด กลายเป็นท้องฟ้าแจ่มใส ระดับน้ำที่ท่วมอยู่ ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว Noah มองขึ้นไปบนฟ้า อย่างมีความหวัง<br />“พระบิดา .....ขอขอบพระคุณพระบิดาที่ใหเวลากับข้า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เรือ Ark สำเร็จให้จงได้"<br />“ไม่ต้องแล้ว” พระผู้เ็ป็นเจ้าตอบกลับมา<br />“หมายความว่า ....พระบิดาจะไม่ทำลาบโลกกระนั้นหรือ?” Noah ถามอย่างมีความหวัง<br />“ไม่จำเป็น…..รัฐบาลของเจ้าทำแทนข้าไปเรียบร้อยแล้ว”<br /><br />จบ<br /><br />ความเห็นส่วนตัว - อันนี้เป็น Joke ที่ เป็น Scenario ที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในปัจจุบัน USA เป็นประเทศที่สนใจในสิทธิของประชากร และมีกฎหมายที่ซับซ้อนมาก จนบางครั้งทำให้การอออกแบบอะไรบางอย๋างที่Artistic มากๆ เกิดขึ้นได้ยาก ทำให้เมืองไม่มีเอกลักษณ์ กลายเป็นปัญหา Lost Identity ไป Architect ต้องเจอกับ Issue ที่มากขึ้นๆ แต่ได้รับค่าตอบแทนเท่าเดิม หรือน้อยลง ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ เพราะไม่รูว่าจะไปจบที่ไหน<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-22980793.post-1141794804777651252006-03-07T21:12:00.000-08:002006-03-07T21:23:26.253-08:00วิชาชีพสถาปนิกคืออะไร - ตอบคุณ vbadaเรียนคุณ vbada<br /><br />ดีใจที่ชอบนะครับ บางคนก็ว่ามันไม่เป็นวิชาการเหมือนกัน นานาจิตตังนะครับ<br /><br />ผมเคยสอนนิสิตปริญญาโท หลักสูตรภาษาอังกฤษ การจัดการทางวัฒนธรรม ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มคนที่มี background แตกต่างกันมากและส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้เลยเกี่ยวกับวิชาชีพสถาปนิก ผมได้มีโอกาสอธิบายให้เขาได้ฟังโดยใช้วิธีนี้<br /><br />1. เราเป็นผู้นำของทีมก่อสร้าง ก็เล่าให้เขาฟังว่า เริ่มแรกคือ สถาปนิกกับเจ้าของ พอไปเรื่อยก็เป็น สถาปนิก+วิศวกร+interior กับเจ้าของ ต่อมาพอเริ่มสร้างก็จะเป็นสองก๊ก ก๊กที่ปรึกษา นำโดยสถาปนิก กับก๊กผู้รับเหมา นำโดยผู้รับเหมาหลัก ตรวจสอบซึ่งกันและกัน แล้วพอยุ่ง เจ้าของก็ เอา CM เข้ามา ทำแบบนี้ เขียนเป็น Diagram ให้เขาเห็นชัดๆ ตรงนี้จะทำให้เขาเห็นว่า สถาปนิก วิศวกร มัณฑนากร ต่างกันอย่างไร<br /><br />2. เราเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับใช้สังคม – เรามีหน้าที่รับผิดชอบความเป็นอยู่ที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ว่าไปให้เห็นความดีงามของวิชาชีพ<br />3. เราไม่ได้เป็น Artist – ไม่ใช่พวกเพื้อฝัน เราต้องทำงานตรงเวลา เราต้องสื่อสารกับคนเป็นร้อย เราไม่ทำตามอารมณ์<br />4. เราไม่ได้เป็น พระเจ้า – ไม่ใช่ว่าเสกอะไรออกมาแล้วจะเป็นจริงดั่งใจ คนสร้างคือเจ้าของ เราคือ นักแปลที่ทำฝันของเจ้าของให้ออกมาเป็นจริง ตามข้อจำกัดเท่าที่มี คนที่ออกเงินคือเจ้าของ<br />5. เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อ สามส่วน คือ เจ้าของเงิน ผู้ใช้อาคาร และตัวเราเอง ตามหลักการประกอบวิชาชีพ<br />6. เป็นอาชีพทีทำเงินทำทองได้ แต่ต้องไปเรียนรู้ Business Skill เพราะในโรงเรียนจะไม่สอน<br />7. วาดรูปไม่เก่ง หัดได้ แต่ถ้าหัดแล้วไม่ได้ ดื้อดึงจะเรียนก็จะเหนื่อย และอาจจะไม่สนุก เพราะ Computer ที่ช่วยวาดมันก็เหมือนปากกาแท่งหนึ่ง เหมือนกัน Skill ที่จะวาดก็ต้องมี<br /><br />ไม่ต้องพูดทั้งหมดนี่นะครับ เป็นทางเลือกเฉยๆ เอาให้สนุกๆ ไว้ก่อนจะดีกว่านะครับ<br /><br />เท่าที่ผมเห็นเพื่อนๆ ผมในรุ่นเดียวกันที่ทำงานมานะครับ อาจจะมีคนเป็นส่วนน้อยที่ทำวิชาชีพสถาปนิกอย่างที่เรียนมาจริง แต่ผมคิดว่าจะมีน้อยมาก ที่เสียใจที่ได้เรียนคณะนี้ หลายๆคนผมมั่นใจมากว่า ช่วงเวลาที่ได้เรียนในคณะสถาปัตย์คือช่วงเวลาที่มีความสนุกและความสุขมากที่สุดในชีวิต และความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมานั้น ก็ยังเป็นความรู้ที่นำไปใช้ประกอบสัมมาอาชีพอื่นๆที่ทำอยู่ เพราะเราสอนวิธีการคิด วิธีการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งชีวิตอยู่แล้วในทุกๆด้าน --- อันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่บอกน้องๆ พวกนี้ได้อีกประเด็นนะครับ<br /><br />ขอให้มีความสุขในการแนะแนวครับผม<div class="blogger-post-footer">Ponn Virulrak's Personal Articles</div>Ponn Virulrak / พร วิรุฬห์รักษ์http://www.blogger.com/profile/09384255504093953379noreply@blogger.com0